คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7657/2548

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การมีผลเป็นการสั่งไม่รับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 228 (3) ซึ่งมิให้ถือว่าเป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณา การที่จำเลยอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวโดยให้อุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้นและให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาคดีต่อไป ย่อมมีผลกระทบโดยตรงต่อคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยต้องนำเงินค่าธรรมเนียมที่ต้องใชแก่โจทก์มาวางต่อศาลชั้นต้นพร้อมอุทธรณ์ตามมาตรา 229 เมื่อจำเลยไม่นำเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวมาวางพร้อมอุทธรณ์จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินจำนวน 3,667,394.57 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี จากต้นเงิน 1,972,037.23 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดจำนวน 6,629,938.94 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ของต้นเงิน 3,600,121.06 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 22002 ตำบลหัวเวียง (เชียงราย) อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยเสร็จแล้ว ก่อนนัดฟังคำพิพากษาจำเลยยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและยื่นคำร้องขอให้ส่งปัญหาข้อกฎหมายตามคำให้การที่ขอแก้ไขไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องขอแก้ไขคำให้การว่า จำเลยยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การภายหลังสืบพยานโจทก์จำเลยเสร็จแล้วและเป็นการขอแก้ไขในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ลักษณะเป็นการประวิงคดี จึงไม่อนุญาต ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ ส่วนคำร้องขอให้ส่งปัญหาข้อกฎหมายไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าศาลไม่อนุญาตให้จำเลยแก้ไขคำให้การจึงไม่มีประเด็นในคำให้การเกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามคำร้องฉบับนี้ ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดจำนวน 6,629,938.94 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ของต้นเงิน 3,600,121.06 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินจำนวน 1,972,037.23 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราผิดนัดที่โจทก์มีสิทธิเรียกเก็บได้ตามเอกสารหมาย จ.9 ถึง จ.11 นับแต่วันฟ้องย้อนขึ้นไปไม่เกิน 5 ปี และให้จำเลยรับผิดชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 5 กรกฎาคม 2543) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 22002 ตำบลหัวเวียง (เชียงราย) อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดมานำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ ให้บังคับเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของจำเลยนำออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 200,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยเฉพาะอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่อนุญาตให้จำเลยเพิ่มเติมคำให้การ ส่วนอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเป็นการอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อจำเลยไม่ได้โต้แย้งคำสั่งศาลไว้ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองฉบับ คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดให้แก่จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิจารณาและวินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่อนุญาตให้จำเลยแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การกับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ที่ไม่ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไปในคำพิพากษาฉบับเดียวกัน คดีมีปัญหาวินิจฉัยว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองฉบับชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การเป็นคำสั่งที่ไม่รับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 227 และ 228 (3) ไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อจำเลยอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว จำเลยจึงต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพียง 200 บาท โดยไม่ต้องวางเงินค่าธรรมเนียมอื่นดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 229 นั้น เห็นว่า แม้คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การจะมีผลเป็นการสั่งไม่รับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 228 (3) ซึ่งมิให้ถือว่าคำสั่งในระหว่างพิจารณาก็ตาม แต่เมื่อจำเลยอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวโดยให้ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้นและให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาคดีต่อไปย่อมมีผลกระทบโดยตรงต่อคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงเป็นหน้าที่ของจำเลยต้องนำเงินค่าธรรมเนียมที่ต้องใช้แก่โจทก์มาวางต่อศาลชั้นต้นพร้อมอุทธรณ์ตามที่บัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 เมื่อจำเลยไม่นำเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวมาวางพร้อมอุทธรณ์จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ชอบที่จะพิพากษายกอุทธรณ์นั้นเสียได้ ส่วนคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่ได้รับอุทธรณ์ที่ไม่ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยนั้น ในการยื่นอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์เช่นว่านี้จำเลยผู้อุทธรณ์ต้องนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าวศาลอุทธรณ์ภาค 5 ชอบที่จะมีคำสั่งยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งฉบับนี้ของจำเลยเสียได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองฉบับจึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share