แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ร้องทำสัญญาจะซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 2 ได้ชำระราคาครบถ้วนและเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแล้ว คงเหลือแต่การจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้แก่ผู้ร้องเท่านั้น ถือได้ว่า ผู้ร้องเป็นบุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1300 และโดยเหตุที่การบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ย่อมไม่กระทบกระทั่งถึงบุริมสิทธิหรือสิทธิอื่น ๆ ซึ่งบุคคลภายนอกอาจร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินนั้นได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 287 โจทก์จึงไม่มีสิทธินำยึดที่ดินพิพาทเพื่อบังคับคดีอันเป็นการกระทบกระทั่งถึงสิทธิของผู้ร้องตามบทกฎหมายดังกล่าว ผู้ร้องจึงมีสิทธิร้องขอให้ปล่อยที่ดินพิพาทที่โจทก์นำยึดได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 2,366,906.55 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.25 ต่อปี จากต้นเงิน 2,000,000 บาท นับแต่วันที่ 22 กรกฎาคม 2536 จนกว่าจะชำระเสร็จ และให้ชำระค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนที่ศาลไม่สั่งคืนกับค่าทนายความอีก 5,000 บาท แก่โจทก์ โดยให้ผ่อนชำระ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์สินที่จำนองขายทอดตลาด หากได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ จำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ขอให้บังคับคดีแก่ทรัพย์สินที่จำนองแล้ว แต่ได้เงินไม่พอชำระหนี้ ต่อมาวันที่ 30 มกราคม 2545 โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 27632 ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ของจำเลยที่ 2 เพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ที่เหลือ
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอ ขอให้มีคำสั่งปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์ให้การ ขอให้ยกคำร้องขอ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้องขอ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยพยานหลักฐานของผู้ร้องและโจทก์แล้วฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้ร้องทำสัญญาจะซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 2 และชำระราคา 2 งวด รวม 5,000,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 2 ครบถ้วนแล้วเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2543 ทั้งได้มีการเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทที่ซื้อแล้ว แต่ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้องขอของผู้ร้องโดยวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า เมื่อยังมิได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท การซื้อขายย่อมไม่สมบูรณ์ ผู้ร้องในฐานะผู้ซื้อไม่มีอำนาจร้องขอให้ปล่อยที่ดินพิพาทได้ ต่อมาเมื่อผู้ร้องอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว โจทก์คงยื่นคำแก้อุทธรณ์แก้ข้ออ้างตามอุทธรณ์ของผู้ร้องเท่านั้น โดยมิได้ยกเหตุโต้เถียงข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นรับฟังมา ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่โจทก์ยกเหตุขึ้นอ้างมาในคำแก้ฎีกาว่าผู้ร้องกับพวกร่วมกันทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทโดยไม่มีการชำระราคากันจริงเพื่อหลีกเลี่ยงการบังคับคดีอีกนั้น ศาลฎีกาจึงไม่อาจรับวินิจฉัยให้ได้เพราะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ยุติไปแล้วทั้งเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 2 คงมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องมีสิทธิร้องขอให้ปล่อยที่ดินพิพาทที่โจทก์นำยึดหรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ร้องทำสัญญาจะซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 2 และได้ชำระราคาครบถ้วนรวมทั้งมีการเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทที่ซื้อแล้ว คงเหลือแต่การจดทะเบียนสิทธิเพื่อโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้แก่ผู้ร้องเท่านั้น กรณีเช่นนี้ถือได้ว่าผู้ร้องเป็นบุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 และโดยเหตุที่การบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาย่อมไม่กระทบกระทั่งถึงบุริมสิทธิหรือสิทธิอื่น ๆ ซึ่งบุคคลภายนอกอาจร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินนั้นได้ตามกฎหมาย ดังนั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธินำยึดที่ดินพิพาทเพื่อบังคับคดีอันเป็นการกระทบกระทั่งถึงสิทธิของผู้ร้องตามบทกฎหมายดังกล่าวผู้ร้องจึงมีสิทธิร้องขอให้ปล่อยที่ดินพิพาทที่โจทก์นำยึดได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ปล่อยที่ดินโฉนดเลขที่ 27632 ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ที่โจทก์นำยึด ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ.