คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5147/2549

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า เดิมที่ดินมีโฉนดเนื้อที่ดิน 29 ไร่ 2 งาน 13 ตารางวา เป็นของโจทก์ โจทก์ได้นำที่ดินดังกล่าวไปจำนองเป็นประกันหนี้ ส. สามีโจทก์ต่อสหกรณ์การเกษตร ต่อมาสหกรณ์การเกษตรได้ยื่นฟ้อง ส. เป็นจำเลยที่ 1 และฟ้องโจทก์เป็นจำเลยที่ 2 ต่อศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้ มิฉะนั้นให้บังคับที่ดินที่จำนองและเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าว จำเลยซึ่งเป็นประธานกรรมการสหกรณ์การเกษตรได้ซื้อที่ดินในฐานะส่วนตัวแล้วใส่ชื่อจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยปราศจากอำนาจที่สหกรณ์การเกษตรให้จำเลยเข้าประมูลสู้ราคาหรือซื้อทรัพย์สินในการขายทอดตลาดและทำนิติกรรมรับโอนที่ดินแทนสหกรณ์การเกษตร แต่จำเลยกลับกระทำขัดต่อหนังสือมอบอำนาจที่ทางสหกรณ์การเกษตรให้อำนาจไว้ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายและผิดต่อข้อบังคับของสหกรณ์การเกษตร ส่อไปในทางทุจริต และต่อมาจำเลยและบริวารได้บุกรุกเข้าไปในที่ดินแปลงดังกล่าวอีกด้วย ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินเป็นของสหกรณ์การเกษตร และห้ามจำเลยเข้ายุ่งเกี่ยวในที่ดินต่อไป ซึ่งหากจำเลยได้ทำการละเมิดจริง ผู้ที่ได้รับความเสียหายหรือถูกโต้แย้งสิทธิคือสหกรณ์การเกษตร มิใช่โจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 2005 และโจทก์นำที่ดินดังกล่าวไปจำนองเป็นประกันหนี้เงินกู้ของนายสมบัติ ดนตรีไทย สามีโจทก์ต่อสหกรณ์การเกษตรมโนรมย์ จำกัด เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2539 สหกรณ์การเกษตรมโนรมย์ จำกัด ฟ้องนายสมบัติและโจทก์เป็นจำเลยในคดีแพ่ง เรื่อง กู้ยืม บังคับจำนอง และศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 824/2539 เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าว จำเลยในฐานะประธานกรรมการสหกรณ์ฯ ได้ซื้อที่ดินในฐานะส่วนตัวและใส่ชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์เป็นของตนเองโดยปราศจากอำนาจที่สหกรณ์ฯ ให้เข้าประมูลสู้ราคาหรือซื้อทรัพย์สินในการขายทอดตลาด จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน อันเป็นการกระทำที่ผิดต่อข้อบังคับของสหกรณ์ฯส่อไปในทางทุจริต ต่อมาเมื่อประมาณปลายปี 2543 จำเลยและบริวารบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ที่ยังครอบครองทำนาอยู่ โดยปลูกกระท่อม ตั้งเครื่องสูบน้ำ 2 เครื่อง ทำสูบน้ำบ่อบาดาลพร้อมปั๊มน้ำ และปลูกพันธ์ไม้หลายชนิด โจทก์พยายามขับไล่จำเลยและบริวารให้ออกไปจากที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้ศาลมีคำสั่งให้จำเลยโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 2005 ตำบลวัดโคก อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท เป็นของสหกรณ์การเกษตรมโนรมย์ จำกัด และห้ามจำเลยเข้าไปยุ่งเกี่ยวในที่ดินดังกล่าวอีกต่อไป
จำเลยให้การว่า จำเลยได้ที่ดินพิพาทมาโดยเข้าประมูลซื้อจากการขายทอดตลาดที่สำนักงานบังคับคดีจังหวัดชัยนาท ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 824/2539 ของศาลชั้นต้น เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2541 ในราคา 650,000 บาท และจำเลยชำระราคาครบถ้วนแล้ว ต่อมามีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เป็นของจำเลย ดังนั้น ที่ดินดังกล่าวไม่ใช่เป็นของสหกรณ์การเกษตรมโนรมย์ จำกัด ถึงแม้จำเลยจะมีฐานะเป็นประธานกรรมการสหกรณ์การเกษตรมโนรมย์ จำกัด แต่จำเลยไม่ได้เข้าสู้ราคาในฐานะตัวแทนของสหกรณ์ฯ ทั้งตามข้อบังคับของสหกรณ์ฯ ไม่มีข้อห้ามที่จะไม่ให้ผู้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการเข้าประมูลซื้อที่ดิน โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายหรือถูกโต้แย้งสิทธิ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์ จำเลย แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 1,000 บาท แทนจำเลย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ฟ้องว่าเดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 2005 ตำบลวัดโคก อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท เนื้อที่ดิน 29 ไร่ 2 งาน 13 ตารางวา เป็นของโจทก์ โจทก์ได้นำที่ดินดังกล่าวไปจำนองเป็นประกันหนี้นายสมบัติ ดนตรีไทย สามีโจทก์ต่อสหกรณ์การเกษตรมโนรมย์ จำกัด ต่อมาสหกรณ์การเกษตรมโนรมย์ จำกัด ได้ยื่นฟ้องนายสมบัติ ดนตรีไทย เป็นจำเลยที่ 1 และฟ้องโจทก์เป็นจำเลยที่ 2 ต่อศาลชั้นต้นในคดีแพ่งเรื่อง กู้ยืม บังคับจำนอง ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้ มิฉะนั้นให้บังคับที่ดินจำนองและเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 2005 ตำบลวัดโคก อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท จำเลยซึ่งเป็นประธานกรรมการสหกรณ์การเกษตรมโนรมย์ จำกัด ได้ซื้อที่ดินในฐานะส่วนตัวแล้วใส่ชื่อจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยปราศจากอำนาจที่สหกรณ์การเกษตรมโนรมย์ จำกัด ให้จำเลยเข้าประมูลสู้ราคาหรือซื้อทรัพย์สินที่ดินในการขายทอดตลาดและทำนิติกรรมรับโอนที่ดินแทนสหกรณ์การเกษตรมโนรมย์ จำกัด แต่จำเลยกลับกระทำขัดต่อหนังสือมอบอำนาจที่ทางสหกรณ์การเกษตรมโนรมย์ จำกัด ให้อำนาจไว้ การกระทำของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายและผิดต่อข้อบังคับของสหกรณ์การเกษตรมโนรมย์ จำกัด ส่อไปในทางทุจริตและต่อมาจำเลยและบริวารได้บุกรุกเข้าไปในที่ดินแปลงดังกล่าวอีกด้วย ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินเลขที่ 2005 ตำบลวัดโคก อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท เป็นของสหกรณ์การเกษตรมโนรมย์ จำกัด และห้ามจำเลยเข้ายุ่งเกี่ยวในที่ดินดังกล่าวต่อไปเห็นได้ว่าหากจำเลยได้ทำการละเมิดดังที่โจทก์ฟ้องจริง ผู้ที่ได้รับความเสียหายหรือถูกโต้แย้งสิทธิคือสหกรณ์การเกษตรมโนรมย์ จำกัด มิใช่โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องชอบแล้ว และไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาจำเลยประการอื่นต่อไป”
พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 1,000 บาท แทนจำเลย.

Share