คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1842/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์รายเดือน (บำนาญ) จากจำเลย ตั้งแต่วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2536 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์ถูกให้ออกจากงาน แต่โจทก์ยื่นเรื่องราวขอรับเงินสงเคราะห์รายเดือน (บำนาญ) เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2541 ซึ่งการเรียกร้องเงินสงเคราะห์รายเดือน (บำนาญ) ดังกล่าว เป็นการเรียกร้องเงินในลักษณะทำนองเดียวกับที่มีการกำหนดจ่ายเป็นระยะเวลาตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (4) ซึ่งกำหนดให้มีอายุความ 5 ปี เมื่อโจทก์เรียกร้องให้จำเลยจ่ายเงินสงเคราะห์รายเดือน (บำนาญ) จึงมีกำหนดอายุความ 5 ปี กรณีไม่อาจนำอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 มาใช้บังคับได้ เพราะมีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้ว โจทก์จึงต้องยื่นเรื่องราวขอรับเงินสงเคราะห์รายเดือน (บำนาญ) ภายในกำหนด 5 ปี นับแต่วันที่อาจใช้สิทธิเรียกร้องขอรับเงินดังกล่าวได้ซึ่งคือวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2536 แต่โจทก์ยื่นเรื่องราวขอรับเงินสงเคราะห์รายเดือน (บำนาญ) เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2541 จึงขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินสงเคราะห์รายเดือน (บำนาญ) จำนวน 642,600 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินสงเคราะห์รายเดือน (บำนาญ) ที่จำเลยจะต้องจ่ายให้แก่โจทก์ในแต่ละงวดในทุกสิ้นเดือน จนกว่าจะชำระให้แก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า โจทก์ถูกให้ออกจากงานมีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์รายเดือน (บำนาญ) จากจำเลยตั้งแต่วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2536 แต่เพิ่งยื่นเรื่องราวขอรับเงินดังกล่าวเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2541 พ้นกำหนด 3 ปี นับแต่วันที่มีสิทธิ โจทก์จึงหมดสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์รายเดือน (บำนาญ) พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า มีปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์ไม่ใช่ข้าราชการ ไม่อาจนำอายุความ 3 ปี ตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ.2494 มาตรา 10 มาใช้บังคับแก่โจทก์ได้ ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า เงินสงเคราะห์รายเดือน (บำนาญ) ที่โจทก์เรียกร้องให้จำเลยจ่ายนั้น โจทก์ได้ยื่นเรื่องราวขอรับเงินดังกล่าวเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2541 ตามเอกสารหมาย จ. 1 ซึ่งตามเอกสารดังกล่าวข้อ 10 โจทก์ได้แสดงความประสงค์ขอรับเงินสงเคราะห์รายเดือนเดือนแรกที่กองการเงิน รฟ. เดือนต่อไปขอให้จ่ายผ่านธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาสระบุรี บัญชีเลขที่ 270 0887710 ซึ่งตามข้อบังคับการรถไฟแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 4.9 ข้อ 16 ระบุว่า “ผู้ปฏิบัติงานที่มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์เป็นรายเดือน โดยคำนวณตามวิธีจ่ายเงินบำนาญข้าราชการจะเลือกขอรับเงินสงเคราะห์ครั้งเดียว โดยคำนวณตามวิธีจ่ายเงินบำเหน็จข้าราชการได้” แสดงว่า โจทก์มิได้เลือกขอรับเงินสงเคราะห์ครั้งเดียว แต่โจทก์ได้แสดงความประสงค์ขอรับเงินสงเคราะห์รายเดือน (บำนาญ) จากจำเลย อันเป็นการเรียกร้องเงินในลักษณะทำนองเดียวกับที่มีการกำหนดจ่ายเป็นระยะเวลา เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33 (4) บัญญัติว่า สิทธิเรียกร้องเงินค้างจ่าย คือ เงินเดือน เงินปี เงินบำนาญ ค่าอุปการะเลี้ยงดู และเงินอื่น ๆ ในลักษณะทำนองเดียวกับที่มีการกำหนดจ่ายเป็นระยะเวลา ให้มีกำหนดอายุความ 5 ปี เมื่อโจทก์เรียกร้องให้จำเลยจ่ายเงินสงเคราะห์รายเดือนหรือเงินบำนาญ จึงมีกำหนดอายุความ 5 ปี กรณีไม่อาจนำอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 มาใช้บังคับได้เพราะมีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้ว โจทก์จึงต้องยื่นเรื่องราวขอรับเงินสงเคราะห์รายเดือน (บำนาญ) ภายในกำหนด 5 ปี นับแต่วันที่อาจใช้สิทธิเรียกร้องขอรับเงินดังกล่าวได้ซึ่งก็คือวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2536 แต่โจทก์ยื่นเรื่องราวขอรับเงินสงเคราะห์รายเดือน (บำนาญ) เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2541 จึงขาดอายุความ กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยว่าข้อบังคับของจำเลยฉบับที่ 4.9 ข้อ 17 ทำให้ต้องใช้อายุความ 3 ปี ตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ.2494 มาตรา 10 หรือไม่ เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share