คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 668/2549

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมโจทก์ฟ้อง บ. เรียกที่ดินพิพาทคืนเพราะเหตุเนรคุณ ระหว่างพิจารณาในคดีดังกล่าว จำเลยซึ่งซื้อที่ดินมาจาก บ. (ก่อนที่ บ. จะถูกฟ้อง) ได้มาเจรจาและตกลงกับโจทก์ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลว่า จำเลยยินยอมจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทคืนโจทก์ และโจทก์สัญญาว่าจะไม่ทำนิติกรรมก่อให้เกิดภาระผูกพันตลอดไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ดังนี้ เมื่อพิจารณาบทบัญญัติของ ป.พ.พ. มาตรา 850 ประกอบข้อตกลงดังกล่าวแล้วจะเห็นได้ว่า จำเลยได้เข้าผูกพันตนโดยสมัครใจตกลงที่จะโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ อันเป็นการแสดงเจตนาที่มุ่งจะก่อนิติสัมพันธ์กับโจทก์ โดยโจทก์จะต้องไม่ทำนิติกรรมก่อให้เกิดภาระผูกพันในที่ดินพิพาทตลอดชีวิตของโจทก์ ซึ่งเป็นการกำหนดภาระหน้าที่ของคู่สัญญาต่อกันแล้ว แม้จำเลยจะมิได้เป็นคู่ความในคดีก่อน แต่จำเลยก็ได้ลงลายมือชื่อในฐานะคู่สัญญาไว้ในรายงานกระบวนพิจารณานั้นแล้ว ทั้งจำเลยเป็นผู้รับโอนที่ดินพิพาทมาจาก บ. ด้วย โจทก์จึงอาจฟ้องเรียกที่ดินพิพาทคืนหรือเพิกถอนที่ดินพิพาทจากจำเลยต่อไปได้ จึงเป็นกรณีที่คู่สัญญาตกลงกันเพื่อระงับข้อพิพาทที่จะมีขึ้นในภายภาคหน้า อันเข้าลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ป.พ.พ. มาตรา 850 ส่วนที่ศาลกำชับให้โจทก์เตรียมพยานมาให้พร้อมสืบหากตกลงกันไม่ได้นั้นก็เป็นขั้นตอนการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลเท่านั้นเพื่อให้การพิจารณาคดีเป็นไปโดยรวดเร็วไม่ชักช้า ข้อความดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยแต่อย่างใด จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 72 เล่ม 2 หน้า 81 ตำบลวังสะพุง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย แก่โจทก์ โดยให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในการโอนที่ดินพิพาทดังกล่าว
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 4 โจทก์ถึงแก่กรรม นางปวีณา ผู้จัดการมรดกของโจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์ภาค 4 อนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับ ให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 72 เล่ม 2 หน้า 81 ตำบลวังสะพุง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย แก่โจทก์ โดยให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยเป็นบุตรของโจทก์ ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 72 เล่ม 2 หน้า 81 ตำบลวังสะพุง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย เนื้อที่ 4 ไร่ 2 งาน เดิมที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ต่อมาโจทก์โอนที่ดินพิพาทให้นางบรรจง ซึ่งเป็นบุตรของจำเลย หลังจากโจทก์โอนที่ดินพิพาทให้แล้ว นางบรรจงไม่เลี้ยงดูโจทก์ โจทก์จึงฟ้องนางบรรจงเรียกที่ดินพิพาทคืนเป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 93/2542 ของศาลชั้นต้น ก่อนฟ้องคดีดังกล่าวนางบรรจงขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยตามสัญญาซื้อขาย ในระหว่างการพิจารณาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 93/2542 โจทก์และจำเลยได้ตกลงกันต่อหน้าศาลชั้นต้นว่า คู่ความทั้งสองฝ่ายแถลงร่วมกันว่าโจทก์กับนายกองสิน (จำเลยคดีนี้) บุตรของโจทก์ สามารถเจรจาตกลงกันได้แล้ว โดยนายกองสินยินยอมจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทกลับคืนไปให้แก่โจทก์ และโจทก์สัญญาว่า เมื่อได้รับโอนที่ดินจากนายกองสินแล้ว จะไม่ทำนิติกรรม ก่อให้เกิดภาระผูกพันตลอดไปจนกว่าชีวิตโจทก์จะหาไม่ ทนายโจทก์แถลงว่าจะไปจัดทำสัญญาและดำเนินการให้นายกองสินจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ให้เสร็จสิ้นเร็ววันนี้ แล้วโจทก์จะยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง ศาลสอบโจทก์และนายกองสินแล้วยืนยันตามข้อตกลงดังกล่าว ศาลจึงให้เลื่อนคดีไป และกำชับโจทก์ให้เตรียมพยานมาให้พร้อมสืบในนัดหน้าหากตกลงกันไม่ได้ แต่เมื่อถึงวันนัดจำเลยไม่ไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ ศาลชั้นต้นจึงได้พิจารณาคดีดังกล่าวต่อไป แล้วพิพากษายกฟ้อง
คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยตามรายงานกระบวนพิจารณา เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความและมีผลผูกพันบังคับจำเลยได้หรือไม่ เห็นว่า ป.พ.พ. มาตรา 850 บัญญัติว่า “อันว่าประนีประนอมยอมความนั้น คือสัญญาซึ่งผู้เป็นคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทอันใดอันหนึ่งซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นนั้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน” เมื่อพิจารณาบทบัญญัติดังกล่าวประกอบข้อตกลงตามรายงานกระบวนพิจารณาแล้ว จะเห็นได้ว่า จำเลยได้เข้าผูกพันตนโดยสมัครใจตกลงที่จะโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ อันเป็นการแสดงเจตนาที่มุ่งจะก่อนิติสัมพันธ์กับโจทก์ โดยโจทก์จะต้องไม่ทำนิติกรรมก่อให้เกิดภาระผูกพันในที่ดินพิพาทตลอดชีวิตของโจทก์ ซึ่งเป็นการกำหนดภาระหน้าที่ของคู่สัญญาต่อกันแล้ว แม้จำเลยจะมิได้เป็นคู่ความในคดีก่อน แต่จำเลยก็ได้ลงลายมือชื่อในฐานะคู่สัญญาไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาแล้ว ทั้งจำเลยเป็นผู้รับโอนที่ดินพิพาทมาจากนางบรรจงจำเลยในคดีก่อนด้วย โจทก์จึงอาจฟ้องเรียกคืนหรือเพิกถอนที่ดินพิพาทจากจำเลยต่อไปได้ การที่จำเลยตกลงกับโจทก์ตามรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าว จึงเป็นกรณีที่คู่สัญญาตกลงกันเพื่อระงับข้อพิพาทที่จะมีขึ้นในภายภาคหน้า อันเข้าลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ป.พ.พ. มาตรา 850 ข้างต้นแล้ว ส่วนที่ศาลกำชับให้โจทก์เตรียมพยานมาให้พร้อมสืบหากตกลงกันไม่ได้นั้น ก็เป็นขั้นตอนการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลเท่านั้น เพื่อให้การพิจารณาคดีเป็นไปโดยรวดเร็วไม่ล่าช้า ข้อความดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยแต่อย่างใด จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว สำหรับฎีกาของจำเลยในข้อที่ว่าข้อตกลงตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ไม่ได้รับความยินยอมจากคู่สมรสจึงไม่สมบูรณ์นั้น จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้คดีไว้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 4 ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share