คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4426/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยได้หลอกให้ผู้เสียหายไปพบยายโดยอ้างว่ายายต้องการพบ ทั้งที่ความจริงยายมิได้ใช้ให้จำเลยไปตามผู้เสียหายมาพบแต่อย่างใด จำเลยจึงมีเจตนาหลอกผู้เสียหายไปที่บ้านเกิดเหตุ เพื่อที่จะได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพรากผู้เสียหายไปเสียจากผู้ปกครองดูแลโดยผู้เสียหายไม่เต็มใจไปด้วยเพื่อการอนาจาร

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 91, 276, 318
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 276 วรรคแรก, 318 วรรคสาม เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตาม ป.อ. มาตรา 91 ฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่า 15 ปี เพื่อการอนาจาร จำคุก 4 ปี ฐานข่มขืนกระทำชำเรา จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 3 กระทง จำคุก 15 ปี รวมจำคุก 19 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 319 วรรคแรก จำคุก 3 ปี ข้อหาอื่นให้ยก
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยมีความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราหญิงอื่นซึ่งมิใช่ภริยาของตนโดยใช้กำลังประทุษร้าย และพรากผู้เยาว์อายุกว่า 15 ปี แต่ยังไม่เกิน 18 ปีไปเสียจากผู้ปกครองผู้ดูแล โดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจไปด้วยเพื่อการอนาจารหรือไม่ ได้ความจากคำเบิกความของนางประไพยายผู้เสียหายว่า ตอนผู้เสียหายยังเด็กผู้เสียหายเคยอาศัยอยู่กับนางประไพ จนอายุประมาณ 7 ปี บิดาผู้เสียหายจึงมารับตัวไปแต่ผู้เสียหายก็ยังคงมาหาสู่กัน ส่วนจำเลยเป็นลูกเขย ขออาศัยปลูกกระต๊อบอยู่บริเวณข้างบ้านนางประไพ และจำเลยมักจะขึ้นมานอนพักอาศัยและอาบน้ำบนบ้านของนางประไพบ่อยครั้ง และได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายว่า จำเลยเป็นพี่เขยของมารดาผู้เสียหาย จึงมีศักดิ์เป็นลุงโดยผู้เสียหายเรียกจำเลยว่า “ลุงประทีป” ผู้เสียหายรู้จักจำเลยตั้งแต่ผู้เสียหายยังเป็นเด็ก มิได้สนิทสนมกัน จำเลยเคยใช้ผู้เสียหายไปซื้อของเช่น เหล้า บุหรี่ เมื่อเหลือเงินทอนจะให้แก่ผู้เสียหาย เมื่อกลางเดือนธันวาคม 2544 เวลากลางวัน ขณะผู้เสียหายอยู่ที่บ้านของนางลมัยซึ่งเป็นอาของผู้เสียหาย จำเลยขับรถจักรยานยนต์มาที่บ้านบอกว่ายายของผู้เสียหายต้องการพบให้ไปพร้อมกับจำเลย แต่ผู้เสียหายปฏิเสธที่จะไปกับจำเลยโดยบอกว่าเดี๋ยวจะตามไป หลังจากนั้นผู้เสียหายไปที่บ้านยาย เมื่อไปถึงไม่พบยายจึงนั่งรอบนบ้าน ระหว่างนั้นจำเลยขึ้นมาบนบ้านดึงแขนผู้เสียหาย ผู้เสียหายร้องให้คนช่วย จำเลยใช้มืออุดปากผู้เสียหายไว้ จากนั้นจำเลยใช้กำลังข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่ 1 ครั้ง จำเลยขู่ผู้เสียหายไม่ให้บอกเรื่องที่เกิดขึ้นแก่ผู้ใดมิฉะนั้นจะฆ่าให้ตาย ต่อมาเมื่อเดือนมกราคม 2545 และปลายเดือนพฤษภาคม 2545 เวลากลางวัน ขณะผู้เสียหายไปที่บ้านยายได้ถูกจำเลยข่มขืนกระทำชำเราซ้ำอีก ทั้งสองครั้งนี้ผู้เสียหายก็ดิ้นรนต่อสู้และร้องให้คนช่วยแต่ก็ถูกจำเลยใช้มืออุดปากไว้ เห็นว่า ขณะผู้เสียหายอายุ 7 ปี จำเลยอายุ 28 ปี ในความรู้สึกของผู้เสียหายย่อมเห็นจำเลยเป็นญาติผู้ใหญ่มาตลอด ผู้เสียหายคงไม่กล้าบิดเบือนความจริงโดยแต่งเรื่องขึ้นเองเพื่อให้จำเลยได้รับโทษ ทั้งเป็นเรื่องเกี่ยวกับทางเพศซึ่งเป็นสิ่งที่น่าอับอาย ผู้เสียหายย่อมไม่กล้าเอาความเท็จมากล่าวให้ตนเองหรือจำเลยได้รับความเสียหาย ดังนั้นแม้ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายจะมีอายุ 17 ปีเศษ และมีความรู้จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 นับว่าเป็นวัยรุ่นมีวุฒิภาวะที่จะดิ้นรนต่อสู้ขัดขืนหรือร้องตะโกนจนมีคนมาช่วยได้ก็ตาม แต่เพราะจำเลยเป็นญาติผู้ใหญ่ ที่ผู้เสียหายรู้จักมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กย่อมรู้สึกเกรงใจไม่กล้าดิ้นรนต่อสู้เต็มแรงนัก ประกอบกับภริยาจำเลยก็ยังมีชีวิตอยู่มีบ้านอยู่ใกล้กัน กับไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายกับจำเลยแอบมีความรู้สึกชอบพอกันมาก่อนเลย ทั้งเมื่อไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะกลั่นแกล้งปรักปรำจำเลยให้ต้องรับโทษ คำเบิกความของผู้เสียหายจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ จึงไม่น่าเชื่อว่าเหตุเกิดครั้งแรกผู้เสียหายจะยินยอมให้จำเลยร่วมประเวณีด้วย พยานหลักฐานโจทก์รับฟังได้มั่นคงปราศจากสงสัยว่า เหตุเกิดครั้งแรกจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายโดยใช้กำลังประทุษร้าย และการที่จำเลยได้หลอกให้ผู้เสียหายไปพบยาย โดยอ้างว่ายายต้องการพบ ทั้งที่ความจริงยายมิได้ใช้ให้จำเลยไปตามผู้เสียหายมาพบแต่อย่างใด จำเลยจึงมีเจตนาหลอกผู้เสียหายไปที่บ้านเกิดเหตุ เพื่อที่จะได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ดังนี้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพรากผู้เสียหายไปเสียจากผู้ปกครองดูแลโดยผู้เสียหายไม่เต็มใจไปด้วยเพื่อการอนาจาร อันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 276 วรรคแรก และมาตรา 318 วรรคสาม ปัญหาต่อไปว่าจำเลยมีความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเป็นครั้งที่ 2 และที่ 3 หรือไม่ เห็นว่า หลังเกิดเหตุครั้งแรกแล้ว ผู้เสียหายยังคงไปที่บ้านเกิดเหตุและถูกจำเลยล่วงเกินทางเพศซ้ำอีก 2 ครั้งโดยไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายได้ดิ้นรนต่อสู้ขัดขืนเต็มที่อย่างไรบ้างแม้จนตั้งครรภ์หลายเดือนแล้ว ก็ยังปิดบังเหตุที่เกิดไม่บอกให้ผู้ใหญ่ในครอบครัวทราบ คำเบิกความของผู้เสียหายจึงมีข้อพิรุธน่าเชื่อว่าด้วยวัยเพียง 17 ปีเศษของผู้เสียหาย ผู้เสียหายอาจเห็นว่าเคยเสียตัวกับจำเลยแล้วจึงมิได้ดิ้นรนต่อสู้เท่าที่ควร พฤติการณ์แห่งคดีใน 2 ครั้งหลังนี้จึงมีความสงสัยตามควรว่าผู้เสียหายอาจยินยอมหรือสมัครใจร่วมประเวณีกับจำเลยก็ได้ จึงให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 276 วรรคแรก, 318 วรรคสาม ลงโทษฐานข่มขืนกระทำชำเรา (กระทงแรก) จำคุก 5 ปี ฐานพรากผู้เยาว์ จำคุก 4 ปี รวมจำคุก 9 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1.

Share