แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีที่ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๘ แม้จำเลยจะฎีกาอ้างอิงข้อกฎหมายมาประกอบ แต่เป็นข้อกฎหมายที่จะนำไปสู่การวินิจฉัยในปัญหาที่ว่าจำเลยมีเจตนาร่วมกระทำความผิดกับจำเลยอื่นหรือไม่ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามฎีกาเช่นกัน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งแปดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๑, ๓๔๓, ๙๑, ๘๓
จำเลยที่ ๒ ที่ ๕ และที่ ๖ หลบหนี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราวสำหรับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๕ และที่ ๖
จำเลยที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๗ และที่ ๘ ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๓ และจำเลยที่ ๔ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๓ วรรคหนึ่ง ให้จำคุกคนละ ๔ ปียกฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๗ ที่ ๘
จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๓ ที่ ๔ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างโดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ ซึ่งเป็นกรรมการบริษัทจำเลยที่ ๑ ได้ร่วมกับบริษัทจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการกระทำผิดฐานฉ้อโกงประชาชน และพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ ไม่เกิน ๔ ปี คดีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๒๑๘
ที่จำเลยที่ ๓ ที่ ๔ ฎีกาว่า โจทก์นำสืบฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ไม่สามารถทำกำไรจนสามารถแบ่งปันผลกำไรให้แก่ผู้ร่วมลงทุนได้ถึงร้อยละ ๘ ต่อเดือนของเงินซึ่งนำมาลงทุน ทั้งจำเลยที่ ๓ ที่ ๔มิได้มีหน้าที่หาเงินจากประชาชนและมิได้รู้เห็นเกี่ยวข้องกับการทำสัญญาร่วมลงทุน จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ เป็นตัวการร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ ๑ นั้น เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานซึ่งเป็นข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว และที่จำเลยที่ ๓ ที่ ๔ ฎีกาอ้างอิงข้อกฎหมายมาประกอบก็เป็นข้อกฎหมายที่จะนำไปสู่การวินิจฉัยในปัญหาที่ว่าจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ มีเจตนาร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒หรือไม่ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกาเช่นเดียวกัน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาจำเลยที่ ๓ ที่ ๔