คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1420/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยกล่าวถ้อยคำดูหมิ่นซึ่งหน้า โดยมิใช่เป็นการกระทำของจำเลยแต่ฝ่ายเดียว แต่เป็นการที่ทั้งสอง ฝ่ายต่างสมัครใจกล่าวถ้อยคำดูหมิ่นซึ่งหน้าโต้ตอบซึ่งกันและกัน ดังนี้ ถือไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๓ จำเลยไม่มีความผิดตามฟ้อง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๓๐ เวลากลางวัน จำเลย กับจำเลยที่ ๑ ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๘๗๔๗/๒๕๓๐ ของศาลชั้นต้น ได้สมัครใจกล่าวถ้อยคำดูหมิ่นซึ่งกันและกัน ขอให้ลงโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๓
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๓ ปรับ ๘๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ เพียงข้อเดียวว่า การกระทำของจำเลยตามที่โจทก์ฟ้องจะเป็นความผิด ฐานดูหมิ่นซึ่งหน้าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๓ หรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่าความผิดฐานดูหมิ่นซึ่งหน้านั้นกฎหมายประสงค์ จะลงโทษผู้ที่ดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าแต่ฝ่ายเดียวโดยที่ผู้ ถูกดูหมิ่นนั้นมิได้กล่าวถ้อยคำดูหมิ่นโต้ตอบด้วย การที่โจทก์ บรรยายฟ้องว่าจำเลยกับจำเลยที่ ๑ ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๘๗๔๗/๒๕๓๐ ของศาลชั้นต้นต่างสมัครใจกล่าวถ้อยคำดูหมิ่นซึ่งกันและกัน จึงเป็นเรื่องที่ต่างฝ่ายต่างด่าโต้ตอบกัน การกระทำของจำเลยย่อม ไม่เป็นความผิดฐานดูหมิ่นซึ่งหน้าตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๙๓ จะนำหลักวินิจฉัยในกรณีที่ต่างทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันมาปรับ แก่คดีนี้ดังที่โจทก์ฎีกาหาได้ไม่…”
พิพากษายืน.

Share