คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2685/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้กู้ยืมและจำนองเป็นต้นเงินและดอกเบี้ยรวมเป็นเงินจำนวนแน่นอน เมื่อจำเลยทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาลในวันนัดสืบพยาน จำเลยขาดนัดพิจารณา ป.วิ.พ. มาตรา 206 วรรคสอง ให้นำบทบัญญัติในมาตรา 198 ทวิ วรรคสองและวรรคสาม มาใช้บังคับโดยอนุโลม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์ส่งพยานเอกสารตามที่เห็นว่าจำเป็นแทนการสืบพยานได้ ชอบด้วยกระบวนพิจารณาแล้ว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 2,985,375.47 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี จากต้นเงิน 2,265,480.50 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยไม่ชำระหรือชำระไม่ครบ ให้ยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน จำเลยขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียวแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 2,985,375.47 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี จากต้นเงิน 2,265,480.50 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระหรือชำระไม่ครบ ให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 248087 ตำบลบางนา อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้ หากไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
จำเลยยื่นคำร้อง ขอให้มีคำสั่งพิจารณาคดีใหม่
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้รับมอบฉันทะจากจำเลยลงลายมือชื่อรับทราบรายงานกระบวนพิจารณาของศาลในวันที่ 26 ธันวาคม 2543 และทนายความจำเลยคนใหม่สามารถตรวจสอบวันนัดได้ แต่กลับละเลยเพิกเฉย จำเลยไม่ได้กล่าวโต้แย้งว่าคำตัดสินของศาลไม่ชอบอย่างไร จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 207 ประกอบมาตรา 199 จัตวา ขอให้ยกคำร้อง
ในวันนัดไต่สวนซึ่งตรงกับวันที่ 3 ธันวาคม 2544 ทนายความจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยขอเลื่อนคดีเป็นครั้งที่สามแล้วเป็นการประวิงคดีให้ชักช้า จึงมีคำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและให้งดการไต่สวน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2544 ว่าจำเลยไม่สามารถนำพยานมานำสืบให้เห็นได้ว่าจำเลยมิได้จงใจขาดนัดพิจารณา จึงไม่มีเหตุที่จะให้พิจารณาคดีใหม่ ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
หลังจากสั่งรับอุทธรณ์แล้ว บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงศรีอยุธยา จำกัด ยื่นคำร้องขอสวมสิทธิเข้าเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิจารณาแล้วเห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและงดสืบพยานเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2544 ซึ่งเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จำเลยมิได้โต้แย้งคำสั่งดังกล่าว จำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์ ไม่รับวินิจฉัย พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดให้จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากนี้ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า การพิจารณาคดีโจทก์ฝ่ายเดียวของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2544 ไม่มีการสืบพยานบุคคลพิจารณาแต่เพียงเอกสารที่โจทก์ส่งเป็นพยานเท่านั้น ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาซึ่งเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยนั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้กู้ยืมและจำนองเป็นต้นเงินและดอกเบี้ยรวมเป็นเงินจำนวนแน่นอน เมื่อจำเลยทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาลในวันนัดสืบพยาน จำเลยขาดนัดพิจารณา ป.วิ.พ. มาตรา 206 วรรคสอง ให้นำบทบัญญัติในมาตรา 198 ทวิ วรรคสองและวรรคสาม มาใช้บังคับโดยอนุโลม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์ส่งพยานเอกสารตามที่เห็นว่าจำเป็นแทนการสืบพยานได้ ซึ่งบทบัญญัตินี้เป็นกระบวนพิจารณาโดยขาดนัดตาม พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2543 ซึ่งใช้บังคับเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2543 โจทก์ฟ้องคดีวันที่ 25 สิงหาคม 2543 กระบวนพิจารณาโดยขาดนัดจึงอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งดังกล่าว ศาลชั้นต้นให้โจทก์ส่งเอกสารแทนการสืบพยานบุคคลจึงชอบด้วยกระบวนพิจารณาแล้ว
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ที่ยกอุทธรณ์จำเลยที่ขอให้พิจารณาใหม่ ให้ยกคำร้องขอพิจารณาใหม่ของจำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ.

Share