แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 309 วรรคสอง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคแรก
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 371 โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องให้ครบองค์ประกอบความผิดดังกล่าว แม้คำขอท้ายฟ้องจะขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 371 ก็ไม่อาจลงโทษในความผิดฐานนี้ได้
สำหรับความผิดในข้อหาหน่วงเหนี่ยวกักขังแม้ศาลล่างทั้งสองจะพิพากษายืนกันมาให้จำคุก 1 ปี แต่ความผิดดังกล่าวเป็นการกระทำกรรมเดียวกับความผิดในข้อหาข่มขืนกระทำชำเราซึ่งศาลล่างทั้งสองจำคุก 16 ปี อันไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงทำให้ข้อหาความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไปด้วย
จำเลยกับพวกพาผู้เสียหายที่ 2 ไปบังคับข่มขืนกระทำชำเราคนละหลายครั้งเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 276 วรรคสอง และ 310 วรรคแรก เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทตาม ป.อ. มาตรา 90
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 83, 91, 276, 309 310, 371
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 276 วรรคสอง, 309 วรรคสอง, 310 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 เป็นความผิดหลายกรรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตาม ป.อ. มาตรา 91 ฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง จำคุก 16 ปี ฐานทำให้เสียเสรีภาพ จำคุก 2 ปี ฐานหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 19 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 371 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุขณะผู้เสียหายที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์กลับบ้านบิดาของตนโดยมีผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นภริยานั่งซ้อนท้ายมาด้วยมีคนร้ายสี่คนขับรถจักรยานยนต์ตามมาสองคันโดยแต่ละคัน นอกจากผู้ขับแล้วมีคนนั่งซ้อนท้ายหนึ่งคน รถคนร้ายคันหนึ่งแล่นปาดหน้าให้ผู้เสียหายที่ 1 หยุดรถ ส่วนรถคนร้าย อีกคันหนึ่งจอดด้านหลังรถผู้เสียหายที่ 1 คนร้ายที่ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์คันที่ปาดหน้าใช้มีดปลายแหลมจี้ให้ ผู้เสียหายที่ 1 ลงจากรถ และให้ผู้เสียหายที่ 2 ไปนั่งซ้อนท้ายรถที่แล่นปาดหน้า ผู้เสียหายที่ 1 ได้ปัดมีดคนร้ายแล้ว หลบหนีไป คนร้ายจึงใช้มีดจี้ผู้เสียหายที่ 2 บังคับให้ผู้เสียหายที่ 2 ไปนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์คันหน้าแล้ว คนร้ายทั้งสี่พาผู้เสียหายที่ 2 ไปสถานที่เกิดเหตุผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันข่มขืมกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 คนละหลายครั้ง อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงผู้เสียหายที่ 2 หลบหนีไปได้และแจ้งความเจ้าพนักงานตำรวจโดยผู้เสียหายที่ 2 ระบุว่าจำคนร้ายได้ทั้งหมด เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมนายสาทิส นายสาทิสรับสารภาพว่าได้ร่วมกระทำความผิดกับ นายเดือน นายสมโภชน์ และจำเลย ต่อมานายเดือนและนายสมโภชน์เข้ามอบตัวและให้การรับสารภาพ ส่วนจำเลยที่ยังจับไม่ได้ ได้แต่ถ่ายภาพซึ่งผู้เสียหายที่ 2 ยืนยันว่าเป็นคนร้ายที่ร่วมข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 เจ้าพนักงานตรวจจึงออกหมายจับจำเลย สำหรับนายสาทิส นายเดือน และนายสมโภชน์โจทก์ได้ฟ้องจำเลยต่อ ศาลชั้นต้นในข้อหาร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้จำยอมโดยขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายโดยมีอาวุธ ร่วมกันข่มขืน กระทำชำเราหญิงอื่นซึ่งมิใช่ภริยาของตนโดยใช้กำลังประทุษร้าย อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง และร่วมกัน หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย นายสาทิส นายเดือน นายสมโภชน์ให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษไปแล้วตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4090/2537 ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์คดีถึงที่สุดแล้ว ต่อมาวันที่ 9 ธันวาคม 2538 เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอขลุง จับกุมจำเลยได้ตามหมายจับ จำเลยให้การปฏิเสธ สำหรับข้อหาความผิดตาม ป.อ. มาตรา 309 วรรคสอง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและยังคงโทษ จำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคแรก จำเลยฎีกาว่าไม่ได้กระทำความผิดในข้อหาดังกล่าว เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยส่วนความผิดตาม ป.อ. มาตรา 371 นั้น โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องให้ครบองค์ประกอบความผิดดังกล่าว แม้คำขอท้ายฟ้องจะขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 371 ด้วย ก็ไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาว่า จำเลยกระทำความผิด ในข้อหาดังกล่าวมานั้นเป็นการไม่ชอบ สำหรับความผิดในข้อหาหน่วงเหนี่ยวกักขังนั้น แม้ศาลล่างทั้งสองจะพิพากษายืนกันมาให้ลงโทษจำคุก 1 ปี แต่ความผิดดังกล่าวเป็นการกระทำกรรมเดียวกัน ความผิดในข้อหาข่มขืนกระทำชำเรา ซึ่งศาลล่างทั้งสองลงโทษจำคุก 16 ปี อันไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงทำให้ข้อหาความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไปด้วย
การกระทำของจำเลยในข้อหาหน่วงเหนี่ยวกักขังและข้อหาข่มขืนกระทำชำเราตาม ป.อ. มาตรา 276 วรรคสอง และ 310 วรรคแรก เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทตาม ป.อ. มาตรา 90 ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยเป็นความผิดสองกรรมจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำความผิดของจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 276 วรรคสอง และ 310 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 83 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 276 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ. มาตรา 90 จำคุก 16 ปี รวมกับโทษฐานทำให้เสียเสรีภาพเป็นจำคุก 18 ปี ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดตาม ป.อ. มาตรา 371 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2.