คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7556/2547

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

รถยนต์ที่เช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อและรถยนต์ที่เอาประกันภัยตามสัญญาประกันภัยเป็นรถยนต์คันเดียวกันและสิทธิเรียกร้องตามสัญญาทั้งสองเกิดจากการสูญหายของรถยนต์คันเดียวกัน เมื่อรถยนต์ที่เช่าซื้อซึ่งจำเลยที่ 1 เอาประกันภัยไว้แก่จำเลยร่วมสูญหาย จำเลยทั้งสามจึงมีสิทธิขอให้ศาลหมายเรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นคู่ความในคดี เพื่อให้จำเลยร่วมรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาประกันภัยร่วมกันกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นไปโดยผลของกฎหมายตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57 (3)(ก) โดยโจทก์ไม่จำต้องฟ้องจำเลยร่วมเป็นจำเลยในคดีนี้ และไม่จำต้องเป็นคู่สัญญาหรือมีนิติสัมพันธ์กับจำเลยร่วมแต่อย่างใด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ราคารถยนต์ที่เช่าซื้อเป็นเงิน 140,000 บาท และค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์เป็นเงิน 60,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 200,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และค่าเสียหายอีกเดือนละ 4,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องขอให้เรียก บริษัทวิริยะประกันภัย จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
จำเลยร่วมให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยร่วมร่วมรับผิดชำระเงินดังกล่าวจำนวน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยทั้งสามและจำเลยร่วมร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท คำขออื่นให้ยก
จำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยร่วมใช้ค่าทนายความ 1,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในคดีรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ โดยมีจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ 1 ทำสัญญาประกันภัยรถยนต์ที่เช่าซื้อไว้แก่จำเลยร่วม โดยจำเลยร่วมจะต้องรับผิดใช้ค่าทดแทนจำนวน 50,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 1 ในกรณีที่รถยนต์ที่เช่าซื้อซึ่งเอาประกันภัยสูญหาย จำเลยร่วมมิได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวนดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1 คดีนี้แม้โจทก์จะไม่ได้ฟ้องจำเลยร่วมและมิได้เป็นคู่สัญญาหรือมีนิติสัมพันธ์กับจำเลยร่วม โดยโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดตามสัญญาเช่าซื้อ ส่วนจำเลยร่วมต้องรับผิดต่อจำเลยที่ 1 ตามสัญญาประกันภัย แต่จำเลยร่วมถูกศาลชั้นต้นหมายเรียกให้เข้ามาในคดีตามคำร้องของจำเลยทั้งสามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57 (3) (ก) เพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ยหรือเพื่อใช้ค่าทดแทน หากศาลพิจารณาให้จำเลยที่ 1 แพ้คดี ซึ่งรถยนต์ที่เช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อและรถยนต์ที่เอาประกันภัยตามสัญญาประกันภัยเป็นรถยนต์คันเดียวกัน และสิทธิเรียกร้องตามสัญญาทั้งสองเกิดจากการสูญหายของรถยนต์คันเดียวกัน เมื่อรถยนต์ที่เช่าซื้อซึ่งเอาประกันภัยไว้แก่จำเลยร่วมสูญหาย จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาเช่าซื้อ ขณะเดียวกันก็มีสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนจากจำเลยร่วมตามสัญญาประกันภัย จำเลยทั้งสามจึงมีสิทธิขอให้ศาลหมายเรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นคู่ความในคดี เพื่อจำเลยร่วมรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาประกันภัยร่วมกันหรือแทนกันกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นไปโดยผลของกฎหมาย โดยโจทก์ไม่จำต้องฟ้องจำเลยร่วมเป็นจำเลยในคดีนี้ และไม่จำต้องเป็นคู่สัญญาหรือมีนิติสัมพันธ์กับจำเลยร่วมแต่อย่างใด เมื่อรถยนต์ที่เอาประกันภัยสูญหายจำเลยร่วมต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 50,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 1 ตามกรมธรรม์ประกันภัย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามและจำเลยร่วมชำระดอกเบี้ยนับแต่วันถัดจากวันฟ้อง ให้จำเลยร่วมใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 1,000 บาท แทนโจทก์.

Share