คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3838/2547

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างอาคารพาณิชย์บนที่ดินของจำเลย แต่โจทก์ก่อสร้างไม่แล้วเสร็จภายในกำหนด ปัจจุบันจำเลยได้เข้าอยู่และใช้อาคารพาณิชย์ดังกล่าวแล้ว กรณีไม่ได้เป็นเรื่องจำเลยรับมอบอาคารพาณิชย์ทั้งที่ชำรุดบกพร่อง อันเป็นเหตุให้โจทก์ต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องตามมาตรา 598 แห่ง ป.พ.พ. สิทธิเรียกร้องเบี้ยปรับฐานผิดสัญญาต้องเป็นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 381 การที่จำเลยยอมเข้าไปอยู่อาศัยในอาคารพาณิชย์ที่ว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างแล้ว ถือได้ว่าจำเลยยอมรับชำระหนี้แล้ว โดยจำเลยไม่สงวนสิทธิที่จะเรียกเอาเบี้ยปรับในเวลาที่จำเลยยอมรับชำระหนี้ จำเลยจึงเรียกเอาเบี้ยปรับตามสัญญาไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน ๙๕๕,๖๗๘ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินจำนวน ๙๐๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องโจทก์และให้โจทก์ชดใช้ค่าปรับอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จากต้นเงินจำนวน ๙๐๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันครบกำหนดส่งมอบงาน คือวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๔๐ ถึงวันฟ้องแย้งเป็นเงินจำนวน ๒๕๓,๑๒๕ บาท และค่าใช้จ่ายในการจ้างบุคคลอื่นมาซ่อมแซมต่อเติมอาคารพาณิชย์อีกจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินค่าเสียหายจำนวน ๓๕๓,๑๒๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าว นับตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องแย้งไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๘๕๕,๑๐๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ส่วนคำขออื่นของโจทก์และจำเลยนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ และให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่เกินจำนวน ๒,๕๑๕ บาท แก่จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า โจทก์และจำเลยร่วมทุนกันก่อสร้างอาคารพาณิชย์ลงบนที่ดินของจำเลย ๔ ห้อง ส่วนโจทก์ออกทุนเป็นค่าวัสดุและออกแรงเป็นผู้ก่อสร้างกับค่าดำเนินการ เมื่อสร้างเสร็จจะนำออกขายแล้วนำกำไรที่ได้มาแบ่งกัน ต่อมาจำเลยเปลี่ยนแปลงข้อตกลงกับโจทก์โดยร่วมทุนกับโจทก์เพียง ๒ ห้อง ส่วนอีก ๒ ห้อง จำเลยว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายใน ๑๘๐ วัน หากไม่แล้วเสร็จภายในกำหนด โจทก์ต้องเสียเบี้ยปรับให้จำเลยในอัตราร้อยละ ๓ ต่อวันจากจำนวนค่ารับเหมาก่อสร้าง ต่อมาวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๐ จำเลยได้ขายอาคารพาณิชย์จำนวน ๒ ห้อง ที่ก่อสร้างบนที่ดินโฉนดเลขที่ ๙๘๓๙ และ ๙๘๓๘ ให้แก่บุคคลภายนอก ซึ่งทั้งสองห้องดังกล่าวเป็นห้องที่โจทก์และจำเลยร่วมกันลงทุน มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยมีสิทธิเรียกเบี้ยปรับได้หรือไม่ เพียงใด ในปัญหานี้ข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ว่า โจทก์ก่อสร้างอาคารพาณิชย์ไม่แล้วเสร็จภายในกำหนด หลังจากนั้นประมาณ ๔ เดือนเศษ จำเลยได้เรียกโจทก์มาเจรจาที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเกษตรสมบูรณ์แล้วโจทก์เข้าดำเนินการก่อสร้างใหม่อีกครั้งหนึ่ง แต่ไม่แล้วเสร็จ และปัจจุบันจำเลยได้เข้าอยู่และใช้อาคารที่ว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างเป็นร้านค้าอะไหล่รถยนต์และอู่ซ่อมรถยนต์ จำเลยฎีกาว่าจำเลยมีสิทธิเรียกเอาเบี้ยปรับได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๕๙๗ และ ๕๙๘ เพราะการก่อสร้างชำรุดบกพร่อง จำเลยไม่ยอมรับงานและไม่ชำระค่าจ้างให้โจทก์นั้น ถือว่าจำเลยอิดเอื้อนเป็นการสงวนสิทธิโดยชอบที่จะเรียกเอาเบี้ยปรับนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ก่อสร้างอาคารพาณิชย์ไม่เสร็จภายในกำหนดไม่ได้เป็นเรื่องจำเลยรับมอบอาคารพาณิชย์ทั้งที่ชำรุดบกพร่องอันเป็นเหตุให้โจทก์ต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องตามบทบัญญัติดังกล่าว ซึ่งศาลอุทธรณ์ก็ให้โจทก์รับผิดในความชำรุดบกพร่องที่จำเลยต้องว่าจ้างนายมุ้ยก่อสร้างซ่อมแซมเป็นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท แล้ว ส่วนสิทธิเรียกร้องเบี้ยปรับฐานผิดสัญญาต้องเป็นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา ๓๘๑ การที่จำเลยยอมเข้าไปอยู่อาศัยในอาคารพาณิชย์ที่ว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างแล้วถือได้ว่าจำเลยยอมรับชำระหนี้แล้ว โดยจำเลยไม่ได้บอกสงวนสิทธิที่จะเรียกเอาเบี้ยปรับในเวลาที่จำเลยยอมรับชำระหนี้ แต่เพิ่งมาเรียกเบี้ยปรับเมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้แล้ว จำเลยจึงเรียกเอาเบี้ยปรับตามสัญญาว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างอาคารพาณิชย์จากโจทก์ไม่ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาของจำเลยในส่วนคำฟ้องโจทก์ทั้งหมดให้จำเลย ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนโจทก์ ๖,๐๐๐ บาท ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาสำหรับฟ้องแย้งของจำเลยให้เป็นพับ.

Share