แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
++ เรื่อง เลตเตอร์ออฟเครดิตและสัญญาทรัสต์รีซีท (ชั้นไม่รับคำคู่ความ)
++ จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
++ โปรดดูย่อจากหนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา สำนักงานศาลยุติธรรม
++ เล่มที่ 8 หน้า 73 ++
++ ขอดูชุดพิเศษโปรดติดต่อห้องบริการเอกสารสำเนาคำพิพากษา (ห้องสมุด) ชั้น 4, 5 ++
ย่อยาว
เรื่อง เลตเตอร์ออฟเครดิตและสัญญาทรัสต์รีซีท (ชั้นไม่รับคำคู่ความ)
จำเลย อุทธรณ์คัดค้าน คำสั่ง ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ลงวันที่ ๑๑ เดือน มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๒
ศาลฎีกา รับวันที่ ๒๒ เดือน กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๒
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นลูกค้าของโจทก์ สำนักงานสาธรและได้ขอสินเชื่อกับโจทก์หลายประเภท รวมทั้งสินเชื่อทรัสต์รีซีทและเลตเตอร์ออฟเครดิต เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๔๐ ถึงวันที่ ๓ ตุลาคม๒๕๔๐ จำเลยได้ทำสัญญาทรัสต์รีซีทกับโจทก์ รวม ๕๙ ครั้ง เพื่อรับมอบเอกสารสิทธิในสินค้าที่ส่งมาจากต่างประเทศ ซึ่งโจทก์ได้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตให้แก่จำเลยสำหรับการสั่งสินค้าและชำระค่าสินค้าแทนจำเลยจำเลยได้รับเอกสารสิทธิจากโจทก์เพื่อรับสินค้าไปจำหน่ายเรียบร้อยแล้วและโจทก์ได้ชำระเงินค่าสินค้าตามเลตเตอร์ออฟเครดิตไปแล้ว แต่จำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินตามสัญญาทรัสต์รีซีททั้งหมดให้โจทก์จำนวน๑๗๗,๐๖๑,๕๒๕.๘๘ บาท และดอกเบี้ยจากต้นเงินดังกล่าวคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๓๓,๘๑๐,๒๔๗.๓๔ บาท รวมต้นเงินตามสัญญาทรัสต์รีซีทและดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๒๑๐,๘๗๑,๗๗๓.๒๒ บาท และในวันที่๙ พฤษภาคม ๒๕๔๑ จำเลยได้ขอให้โจทก์ออกเลตเตอร์ออฟเครดิตประเภทเพิกถอนไม่ได้สำหรับการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศ โดยจำเลยตกลงยอมชำระเงินตามจำนวนที่โจทก์จ่ายตามเลตเตอร์ออฟเครดิตให้โจทก์ ต่อมาจำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินตามเลตเตอร์ออฟเครดิตที่โจทก์จ่ายไปรวม ๒ ครั้ง คิดเป็นเงินจำนวน ๑๑,๘๒๙,๖๐๐ บาทและดอกเบี้ยในต้นเงินดังกล่าวคิดถึงวันฟ้องจำนวน ๑,๒๑๒,๖๕๘.๙๖ บาทรวมต้นเงินตามสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตและดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน๑๓,๐๔๒,๒๕๘.๙๖ บาท รวมเป็นเงินซึ่งจำเลยจะต้องชำระแก่โจทก์ทั้งสิ้น ๒๒๓,๙๑๔,๐๓๒.๑๘ บาท โจทก์ได้มีหนังสือทวงถามจำเลยแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน ๒๒๓,๙๑๔,๐๓๒,๑๘ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๒๑ ต่อปี ของต้นเงิน ๑๘๘,๘๙๑,๑๒๕.๘๘ บาทนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยไม่ชำระเงินดังกล่าวหรือชำระไม่ครบถ้วน ขอให้ยึดทรัพย์จำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินสุทธิจากการขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์จนครบ
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมจำเลยไม่เคยทำสัญญาทรัสต์รีซีทกับโจทก์เพื่อรับมอบเอกสารสิทธิในสินค้าที่ส่งมาจากต่างประเทศ จำเลยไม่เคยเห็นสัญญาทรัสต์รีซีทที่แนบท้ายฟ้อง และโจทก์คิดดอกเบี้ยไม่ถูกต้อง การที่โจทก์รู้อยู่แล้วว่าจำเลยไม่ได้เป็นหนี้เงินใด ๆ ต่อโจทก์ แต่โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยเพื่อต้องการให้จำเลยได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง โดยจำเลยมีคู่ค้าและผู้ถือหุ้นทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศจำนวนมากทำให้บริษัทจำเลยขาดความเชื่อถือ จำเลยต้องเสียหายขาดประโยชน์รายได้จากการประกอบธุรกิจเป็นเงิน ๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งโจทก์จะต้องรับผิดใช้แก่จำเลย ขอให้ยกฟ้องโจทก์ และให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยจำนวน ๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งว่า “ฟ้องแย้งเป็นเรื่องละเมิดไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม จึงไม่รับ”
จำเลยอุทธรณ์ขอให้รับฟ้องแย้ง
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า ฟ้องแย้งของจำเลยเกี่ยวกับฟ้องเดิมหรือไม่ จำเลยอุทธรณ์ว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องกล่าวหาว่า จำเลยเป็นหนี้ตามสัญญาทรัสต์รีซีทและเลตเตอร์ออฟเครดิต รวมต้นเงินและดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน๒๒๓,๙๑๔,๐๓๒.๑๘ บาท จำเลยให้การต่อสู้ว่า คำฟ้องของโจทก์ไม่มีมูลความจริง เอกสารท้ายฟ้องของโจทก์เป็นเอกสารเท็จ การที่โจทก์นำความเท็จมาฟ้องกล่าวหาจำเลยคดีนี้จึงน่าจะรับฟังได้ว่า คำฟ้องของโจทก์กับคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยเป็นมูลคดีเดียวกันทั้งสิ้นซึ่งศาลควรรวมพิจารณาในคราวเดียวกันได้นั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่า จำเลยทำสัญญาทรัสต์รีซีทกับโจทก์หลายคราว กับขอให้โจทก์เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต แล้วผิดนัดไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ตามสัญญาทรัสต์รีซีทและตามสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตที่โจทก์ชำระเงินแทนจำเลยไป ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ตามสัญญาดังกล่าว ซึ่งมูลคดีที่โจทก์ฟ้องสืบเนื่องจากจำเลยผิดนัดชำระหนี้ตามสัญญา ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยอ้างว่า โจทก์ทำให้จำเลยขาดความเชื่อถือในทางการค้า จำเลยต้องเสียหายขาดประโยชน์รายได้จากการประกอบธุรกิจ ขอให้บังคับให้โจทก์ใช้ค่าเสียหาย ดังนั้นฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นการตั้งประเด็นว่า การฟ้องคดีนี้ของโจทก์เป็นการแกล้งฟ้อง เป็นการละเมิดต่อจำเลย ทำให้ชื่อเสียงของจำเลยเสียหายฟ้องแย้งของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นมูลเหตุคนละเรื่องกัน ไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ไม่อาจจะรวมการพิจารณาชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ ตามที่บัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๗ วรรคสาม และมาตรา ๑๗๙ วรรคท้าย ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๒๖ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยนั้นชอบแล้วอุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ.