คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6428/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินโจทก์และจำเลยมีแนวเขตที่ดินติดต่อกันจากทิศเหนือลงมาทิศใต้ โจทก์ทำรั้วลวดหนามกั้นแนวเขตที่ดินไว้ ต่อมาจำเลยนำรถแบ็กโฮมาขุดดินในที่ดินของจำเลยยาวประมาณ 100 เมตร ใกล้แนวเขตที่ดินของโจทก์ บางจุดห่างจากแนวเขตประมาณ 30 ถึง 50 เซนติเมตร บางจุดจำเลยขุดในแนวตั้งฉากลึก 2 เมตร โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยนำดินมาถมที่ขุดพร้อมให้สร้างเขื่อนกันดินพังทลายตลอดแนวที่ดินที่ขุด แม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังได้ว่า เมื่อจำเลยขุดดินและผ่านฤดูฝนแล้ว ที่ดิน ต้นทุเรียนและรั้วของโจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย แต่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1343 บัญญัติห้ามมิให้ขุดดินจนอาจเป็นอันตรายแก่ความอยู่มั่นแห่งที่ดินที่ติดต่อเว้นแต่จะจัดการเพียงพอเพื่อป้องกันความเสียหาย การที่จำเลยขุดดินลึก 2 เมตร ในแนวตั้งฉากมีระยะใกล้ชิดกับแนวเขตที่ดินของโจทก์ ที่ดินของโจทก์อาจได้รับความเสียหายพังทลายลงได้ แม้ศาลล่างทั้งสองจะให้จำเลยนำดินมาถมที่ดินที่ติดกับแนวเขตที่ดินของโจทก์ให้อยู่ในระดับเดิมโดยให้มีระยะห่างจากแนวเขต 1 เมตร และเห็นว่าการสร้างเขื่อนเกินความจำเป็นซึ่งศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย แต่เมื่อศาลฎีกาเห็นว่ายังไม่เพียงพอเพื่อป้องกันความเสียหาย ศาลฎีกามีอำนาจกำหนดให้จำเลยปรับระดับพื้นดินที่ต่อจากที่ดินที่จำเลยถมให้ลาดเอียงลงสู่พื้นดินของจำเลยในระดับไม่เกิน 45 องศาด้วยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยนำดินมาถมในที่ดินที่ขุดไว้พร้อมกับให้จำเลยทำเขื่อนที่ขอบพื้นดินที่ขุดตลอดแนวเพื่อกันมิให้ดินพังทลาย หากจำเลยไม่ดำเนินการให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นผู้ดำเนินการแทน โดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
จำเลยให้การว่า จำเลยขุดดินในที่ดินของจำเลยเพื่อปลูกต้นไม้และป้องกันน้ำไหลเข้าบ้านซึ่งอยู่ต่ำกว่าบริเวณพื้นดินที่ขุด เพื่อปรับพื้นที่ดินให้อยู่ในระดับเดียวกับบ้าน จำเลยขุดดินห่างจากแนวเขตที่ดินของโจทก์ประมาณ ๑ ถึง ๒ เมตร ซึ่งหลังจากขุดแล้วจำเลยได้ปลูกมะละกอ กล้วย และต้นไม้คลุมดินไว้ ฤดูฝนที่ผ่านมาที่ดินของโจทก์ก็ไม่พังทลาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยถมดินในที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๒๗๙ ตามแนวเขตซึ่งติดกับที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๒๘๐ ของโจทก์ ในส่วนที่จำเลยขุดไว้จนอยู่ในระดับเดิมโดยให้มีระยะห่างจากแนวเขตที่ดินของโจทก์ ๑ เมตร และห้ามมิให้จำเลยขุดดินโดยไม่เว้นระยะห่างจากแนวเขตของโจทก์ ๑ เมตร หรือกว่านั้น กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ กำหนดเป็นค่าทนายความ ๒,๕๐๐ บาท ยกคำขออื่นนอกจากนี้
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๒๘๐ จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๒๗๙ ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ด้านทิศตะวันตก มีแนวเขตติดต่อกันจากด้านทิศเหนือลงมาทิศใต้ โดยจำเลยปลูกบ้านอยู่ในที่ดินของตนด้วย ๑ หลัง โจทก์ทำรั้วลวดหนามกั้นแนวเขตที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยไว้ ประมาณเดือนเมษายน ๒๕๔๑ จำเลยขุดดินในที่ดินของจำเลยยาวประมาณ ๑๐๐ เมตร ใกล้แนวเขตที่ดินของโจทก์ จุดที่ขุดบางช่วงห่างจากแนวเขตประมาณ ๓๐ เซนติเมตร ถึง ๕๐ เซนติเมตร บางช่วงขุดเป็นแนวตั้งฉากลึกประมาณ ๒ เมตร หลังจากขุดแล้วจำเลยปลูกต้นมะละกอและต้นกล้วยในบริเวณที่ขุด และบางจุดจำเลยได้นำดินมาถมบริเวณที่ขุดให้พื้นที่มีระดับลาดเอียง ภายหลังจากที่จำเลยขุดดินแล้วต้นทุเรียนของโจทก์ที่ปลูกใกล้แนวเขตไม่ได้รับความเสียหาย และเมื่อผ่านฤดูฝนหลังจากที่มีการขุดแล้วรั้วลวดหนามของโจทก์ก็ไม่ได้รับความเสียหาย มีปัญหาวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยจะต้องทำเขื่อนตลอดแนวเขตที่ดินที่ขุดเพื่อป้องกันมิให้ดินในแนวเขตที่ดินของโจทก์พังทลายหรือไม่ เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังได้ว่าเมื่อจำเลยขุดดินเสร็จและผ่านฤดูฝนไปแล้ว ที่ดิน ต้นทุเรียน และรั้วลวดหนามของโจทก์ที่ติดอยู่กับแนวเขตที่ดินของจำเลยยังไม่ได้รับความเสียหาย จึงไม่มีความจำเป็นต้องสร้างเขื่อนดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยก็ตาม แต่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๔๓ บัญญัติห้ามมิให้ขุดดินจนอาจเป็นอันตรายแก่ความอยู่มั่นแห่งที่ดินติดต่อ เว้นแต่จะจัดการเพียงพอเพื่อป้องกันความเสียหาย การที่จำเลยขุดดินลึก ๒ เมตร ในแนวตั้งฉากมีระยะใกล้ชิดกับแนวเขตที่ดินของโจทก์ ที่ดินของโจทก์อาจได้รับความเสียหายพังทลายลงได้ ดังนั้น จำเลยจึงต้องจัดการเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่ที่ดินของโจทก์ มีปัญหาว่าที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยถมที่ดินที่ติดกับแนวเขตที่ดินของโจทก์ให้อยู่ในระดับเดิม โดยให้มีระยะห่างจากแนวเขต ๑ เมตรนั้น เพียงพอที่จะป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดแก่ที่ดินของโจทก์แล้วหรือไม่ เห็นว่า แม้ว่าจำเลยจะต้องถมดินให้แนวเขตที่ขุดอยู่ห่างแนวเขตที่ดินโจทก์ ๑ เมตร แต่ถ้าการถมหรือขุดอยู่ในแนวดิ่ง ที่ดินนั้นก็อาจพังทลายลงได้ ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันที่ดินของโจทก์ตามแนวเขตที่ดินที่จำเลยขุด จึงเห็นสมควรให้จำเลยปรับระดับพื้นดินที่ต่อจากที่ดินที่จำเลยถมตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นให้ลาดเอียงสู่พื้นดินไม่เกิน ๔๕ องศาด้วย เมื่อจำเลยดำเนินการดังกล่าวแล้วน่าจะเพียงพอที่จะป้องกันความเสียหายแก่ที่ดินของโจทก์ได้ ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า เมื่อจำเลยถมดินจนอยู่ในระดับเดิมโดยมีระยะห่างจากแนวเขตที่ดิน ๑ เมตร แล้วให้จำเลยปรับระดับพื้นดินต่อจากที่ดินที่จำเลยถมให้ลาดเอียงลงสู่พื้นดินของจำเลยในระดับไม่เกิน ๔๕ องศา ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๒.

Share