คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5465/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหาร่วมกับพวกฆ่า ล. และร่วมกับพวกทำร้ายร่างกาย ช. ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองข้อหาเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดในข้อหาร่วมกับพวกทำร้ายร่างกายเพียงข้อหาเดียว ย่อมมีผลเท่ากับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องในข้อหาความผิดฐานร่วมกับพวกฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา โจทก์จึงฎีกาในข้อหาความผิดนี้ไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๒๙๕,๘๓
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕, ๘๓ จำคุก ๔ เดือน ปรับ ๒,๐๐๐ บาทตามพฤติการณ์แห่งคดีเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยเป็นเพียงการชกต่อยกัน เห็นควรรอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด ๒ ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหาร่วมกับพวกฆ่านายเลือง เพ็ญโพธิ์ ผู้ตายโดยเจตนา และข้อหาร่วมกับพวกทำร้ายร่างกายนายชื่น กล่อมพร ผู้เสียหาย เมื่อปรากฏว่าศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองข้อหาความผิด โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายเพียงข้อหาเดียว จึงพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕, ๘๓นอกจากที่แก้ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์คงฎีกาเฉพาะในข้อหาความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ดังนี้ ข้อหาความผิดฐานทำร้ายร่างกายจึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ และย่อมมีผลเท่ากับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๓ กรณีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๐ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ๑๗) พ.ศ. ๒๕๓๒ มาตรา ๑๓ อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่โจทก์ยื่นฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกฎีกาโจทก์.

Share