คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4082/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยออกเช็คให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ จำเลยให้การรับว่าจำเลยได้ออกเช็คพิพาทให้แก่โจทก์จริง โดยออกให้เพื่อประกันเงินกู้ตามสัญญากู้ซึ่งระบุว่า จำเลยได้มอบเช็คพิพาทซึ่งสั่งจ่ายเงินเท่ากับจำนวนเงินกู้และลงวันที่สั่งจ่ายวันเดียวกับวันครบกำหนดชำระเงินกู้ให้โจทก์ไว้เป็นประกัน ข้อความในสัญญากู้ดังกล่าวแสดงว่าเมื่อถึงกำหนดชำระหนี้เงินกู้ หากจำเลยไม่ชำระโจทก์ก็มีสิทธินำเช็คพิพาทไปเบิกเงินจากธนาคารเพื่อชำระหนี้เงินกู้ได้ หาใช่เป็นกรณีเช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้ดังจำเลยต่อสู้ไม่
เมื่อข้อเท็จจริงตามคำฟ้องและคำให้การฟังได้แล้วว่า โจทก์มีสิทธินำเช็คพิพาทไปเบิกเงิน และธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงินแล้ว จำเลยในฐานะผู้สั่งจ่ายย่อมต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ คดีจึงพอวินิจฉัยได้แล้ว หามีความจำเป็นต้องสืบพยานใด ๆ ต่อไปอีกไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยออกเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด ลงวันที่๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๐ สั่งจ่ายเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ให้โจทก์เพื่อชำระหนี้แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่าย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามเช็คให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ลงในเช็คจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยออกเช็คตามฟ้องให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันหนี้เงินกู้ โจทก์จึงไม่มีสิทธินำเช็คดังกล่าวมาฟ้องจำเลยขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้วจึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์ขอให้มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยต่อไป
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหามาสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยแล้วพิพากษาคดีไปนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า จำเลยให้การรับว่า ได้ออกเช็คพิพาทให้แก่โจทก์จริง โดยออกให้เพื่อเป็นประกันเงินกู้ตามสำเนาหนังสือสัญญากู้ท้ายคำให้การ ตามสัญญากู้ดังกล่าว จำเลยสัญญาว่าจะชำระหนี้เงินกู้คืนโจทก์ในวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๐และมอบเช็คพิพาทซึ่งสั่งจ่ายเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท เท่ากับจำนวนเงินกู้และลงวันที่สั่งจ่ายวันเดียวกับวันครบกำหนดที่จำเลยต้องชำระหนี้เงินกู้ให้โจทก์ไว้เป็นประกัน ข้อความในสัญญากู้ดังกล่าวแสดงว่าเมื่อถึงกำหนดชำระหนี้ตามสัญญากู้แล้ว หากจำเลยไม่ชำระโจทก์ก็มีสิทธินำเช็คพิพาทไปขึ้นเงินจากธนาคารเพื่อชำระหนี้เงินกู้ได้หาใช่เช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้ดังจำเลยต่อสู้ไม่ เมื่อข้อเท็จจริงตามคำฟ้องโจทก์และตามคำให้การจำเลยฟังได้แล้วว่า โจทก์มีสิทธินำเช็คไปขึ้นเงินและธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงินแล้ว จำเลยในฐานะผู้สั่งจ่ายจึงต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ดังนี้คดีจึงพอวินิจฉัยได้แล้ว หามีความจำเป็นต้องสืบพยานใด ๆ ต่อไปอีกไม่ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยชอบแล้วนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share