คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2217/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หนี้ตามคำพิพากษาที่ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ โดยจำกัดวงเงินให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดนั้น จำเลยที่ 3 ต้องผูกพันชำระหนี้ในส่วนที่ตนต้องรับผิดจนกว่าจะชำระหนี้ส่วนที่ต้องรับผิดจนครบหรือจนกว่าโจทก์จะได้รับชำระหนี้ทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้วเมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 3 ชำระหนี้ส่วนที่ตนต้องรับผิดยังไม่ครบและโจทก์ยังมิได้รับชำระหนี้เสร็จสิ้น จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมจึงต้องชำระหนี้ในส่วนที่ตนยังต้องรับผิด ตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 291

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามเป็นลูกหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นซึ่งพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองแก่โจทก์จำนวนเงิน ๑๗,๘๖๐,๙๖๗.๑๑ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๐ ต่อปีของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันถัดจากวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๘ จนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้จำเลยที่ ๓ ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ในต้นเงินเพียง ๓,๕๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๐ ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๘ จนกว่าจะชำระเสร็จเช่นเดียวกัน หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้โจทก์ยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้ หากได้เงินยังไม่ครบให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ได้จนครบและให้จำเลยทั้งสามชำระค่าฤชาธรรมเนียมโดยกำหนดค่าทนายความ ๑๐,๐๐๐ บาทแทนโจทก์หลังจากนั้นจำเลยที่ ๑ ได้นำเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์๖๐๐,๐๐๐ บาท และโจทก์นำยึดที่ดินจำนองของจำเลยที่ ๓ ขายทอดตลาดไปได้เงินสุทธิจำนวน ๑,๐๙๙,๖๖๐ บาท โจทก์นำยึดที่ดินจำนองของจำเลยที่ ๒ ไว้ และจำเลยที่ ๒ ได้ชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองไปในราคา ๖,๐๐๐,๐๐๐บาท และต่อมาวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๒๔ จำเลยที่ ๑ ได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์อีกบางส่วนจำนวน ๓๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ จึงยังคงเป็นหนี้โจทก์จำนวน ๒๑,๑๗๔,๘๘๔.๐๙ บาท หลังจากนั้นไม่ได้มีการชำระหนี้ให้แก่โจทก์อีก จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ต้องรับผิดชำระหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมด้วยดอกเบี้ยรวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๓๐,๘๓๗,๕๒๗.๓๓บาท ส่วนจำเลยที่ ๓ ต้องรับผิดชำระหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมด้วยดอกเบี้ยรวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๖,๕๒๐,๗๕๐.๙๕ บาท ตามรายการคำนวณยอดหนี้ตามคำพิพากษาท้ายฟ้อง จำเลยทั้งสามเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาถึงที่สุดเป็นจำนวนแน่นอนเกินกว่าห้าแสนบาท และไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้จำเลยทั้งสามจึงเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาด และพิพากษาให้จำเลยทั้งสามล้มละลาย
จำเลยที่ ๑ ไม่ยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ ๒ที่ ๓ ชำระหนี้ในส่วนที่ผูกพันตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้วเพราะตามคำพิพากษาดังกล่าวได้กำหนดจำนวนหนี้ต้องรับผิดไว้มิใช่รับผิดทั้งหมดเต็มจำนวนในหนี้ของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ได้ร่วมกันชำระหนี้ในส่วนของตนครบถ้วนแล้ว แต่โจทก์ไม่สุจริตกลับนำเงินที่จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ชำระไปชดใช้แก่จำเลยที่ ๑จึงทำให้หนี้ของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ยังคงค้างชำระ จึงเป็นยอดหนี้เท็จและไม่มีมูลที่จะฟ้องจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ได้ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓มีฐานะทางการค้ามั่นคง และมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งพิทักษืทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๔
จำเลยที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หนี้ตามคำพิพากษากำหนดให้จำเลยที่ ๓ ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ในต้นเงิน ๑๗,๘๖๐,๙๖๗.๑๑ บาท กับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๐ ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ ๒๘กุมภาพันธ์ ๒๕๑๘ จนกว่าจะชำระเสร็จ โดยจำเลยที่ ๓ ร่วมรับผิดในต้นเงินเพียง ๓,๕๐๐,๐๐๐ บาท กับดอกเบี้ยในอัตราและระยะเวลาเดียวกันดังกล่าวฉะนั้นจำเลยที่ ๓ จึงต้องผูกพันชำระหนี้ในส่วนที่จำเลยที่ ๓ จะต้องรับผิด ทั้งนี้จนกว่าจะชำระหนี้ส่วนที่ต้องรับผิดจนครบหรือจนกว่าโจทก์จะได้รับชำระหนี้ทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้วเมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้โดยจำเลยที่ ๑ ผ่อนชำระ ๔ ครั้งเป็นเงิน ๙๐๐,๐๐๐ บาท และจำเลยที่ ๒ ไถ่ถอนจำนองที่ดินของจำเลยที่ ๒ เป็นเงิน ๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท แต่นำไปชำระหนี้ได้เพียงดอกเบี้ยส่วนหนึ่งของหนี้ที่ค้างชำระอยู่เท่านั้น จึงมีหนี้ที่จำเลยที่ ๑ยังคงค้างชำระทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องรวมทั้งสิ้น๓๐,๘๗๘,๕๒๗.๓๒ บาท ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.๔ ส่วนการขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยที่ ๓ ได้เงิน ๑,๐๙๙,๖๖๐ บาท หักใช้หนี้ได้เฉพาะดอกเบี้ยในส่วนที่จำเลยที่ ๓ ต้องรับผิดแล้ว ยังคงค้างชำระต้นเงินและดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๖,๕๒๐,๗๕๐.๙๕ บาทปรากฏตามเอกสารหมาย จ.๕ เมื่อโจทก์ยังมิได้รับชำระหนี้เสร็จสิ้นแล้วจำเลยทั้ ๓ ซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมจึงต้องชำระหนี้ในส่วนที่ตนต้องรับผิดจำนวน ๖,๕๒๐,๗๕๐.๙๕ บาท ทั้งนี้ตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ท่คี่ ๒๙๑ จำเลยที่ ๓ จึงยังไม่หลุดพ้นจากหนี้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาของจำเลยที่ ๓ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share