คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3596/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามคำบรรยายฟ้องและทางนำสืบของโจทก์ได้ความว่า จำเลยได้ทำการหาผู้ฝากเงินออมสินประเภทสงเคราะห์ชีวิตและครอบครัวแบบเพิ่มพูนทรัพย์ โดยหลอกลวงแจ้งเงื่อนไขในการทำสัญญาอันเป็นเท็จและโดยการหลอกลวงของจำเลยดังกล่าวทำให้ประชาชนเข้าใจผิดหลงเข้าทำสัญญาฝากเงินประเภทสงเคราะห์ชีวิตและครอบครัวแบบเพิ่มพูนทรัพย์กับธนาคาร ออมสิน และธนาคาร ออมสิน ได้จ่ายเงินชดเชยค่าใช้จ่ายและเงินรับรองในการหาผู้ฝากและเงินสมนาคุณแพทย์ผู้ตรวจร่างกายผู้เข้าทำสัญญาฝากเงินกับธนาคาร ออมสิน แก่จำเลย กรณีดังกล่าวแม้จำเลยจะหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ แต่จำเลยก็ไม่ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม การที่ธนาคาร ออมสิน ได้จ่ายเงินให้แก่จำเลยก็เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับหรือตามสัญญาซึ่งมีข้อผูกพันที่จะต้องจ่ายให้แก่จำเลย มิใช่จ่ายให้จำเลยโดยเหตุที่จำเลยหลอกลวง และมิใช่ผลโดยตรงจากการหลอกลวงของจำเลยการหลอกลวงของจำเลยเป็นแต่เพียงทำให้ประชาชนเข้าทำสัญญาฝากเงินประเภทสงเคราะห์ชีวิตและครอบครัวแบบเพิ่มพูนทรัพย์กับธนาคาร ออมสิน เท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง
จำเลยเป็นพนักงานธนาคาร ออมสิน สาขาสระบุรี ตำแหน่งพนักงานบริการรับใช้ มีหน้าที่เก็บกวาดบริการภายในธนาคาร และงานอื่นตามแต่ผู้จัดการจะใช้ในการหาผู้ฝากเงินประเภทสงเคราะห์ชีวิตและครอบครัวแบบเพิ่มพูนทรัพย์นั้น ธนาคารเปิดโอกาสให้พนักงานธนาคารหาเงินฝากประเภทดังกล่าวได้นอกเวลาทำการ และมีสิทธิได้รับเงินตอบแทนให้เป็นเงินชดเชยค่าใช้จ่ายและค่ารับรองจากธนาคาร เป็นการเพิ่มพูนรายได้ให้แก่พนักงานธนาคาร การที่จำเลยหาผู้ฝากเงินประเภทสงเคราะห์ชีวิตและครอบครัว ไม่ใช่งานในหน้าที่โดยตรงของจำเลยและผู้บังคับบัญชาจำเลยก็มิได้มีคำสั่งให้จำเลยปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว ดังนั้นแม้จะฟังได้ว่าจำเลยทำหลักฐานเท็จขอเบิกเงินชดเชยค่าใช้จ่ายและค่ารับรองในการหาผู้ฝากเงินประเภทสงเคราะห์ชีวิตและครอบครัว การกระทำของจำเลยก็ไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา๓๔๑, ๓๔๔, ๙๑ พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในหน่วยงานหรือองค์การของรัฐ พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๑๑ ให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวน ๖๖๖,๐๒๗.๖๐ บาท แก่ธนาคารออมสินด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๓ จำคุก ๓ ปี ฐานเป็นเจ้าพนักงานในหน่วยงานหรือองค์การของรัฐปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในหน่วยงานหรือองค์การของรัฐ พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๑๑ จำคุก ๓ ปี รวมจำคุก ๖ ปี จำเลยนำสืบพยานเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่มาก เป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ ๑ ใน ๓ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๔ ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวน ๖๖๖,๐๒๗.๖๐ บาท แก่ธนาคารออมสิน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำบรรยายฟ้องและทางนำสืบของโจทก์ได้ความว่า จำเลยได้ทำการหาผู้ฝากเงินออมสินประเภทสงเคราะห์ชีวิตและครอบครัวแบบเพิ่มพูนทรัพย์โดยหลอกลวงแจ้งเงื่อนไขในการทำสัญญาอันเป็นเท็จ และโดยการหลอกลวงของจำเลยดังกล่าวทำให้ประชาชนเข้าใจผิหลงเข้าทำสัญญาฝากเงินประเภทสงเคราะห์ชีวิตและครอบครัวแบบเพิ่มพูนทรัพย์กับธนาคารออมสิน ซึ่งจะเห็นได้ว่าแม้จะฟังได้ว่าจำเลยหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ แต่จำเลยก็มิได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามแต่ประการใดในการหลอกลวงของจำเลยเป็นแต่เพียงทำให้ประชาชนเข้าทำสัญญาฝากเงินประเภทสงเคราะห์ชีวิตและครอบครัวแบบเพิ่มพูนทรัพย์กับธนาคารออมสินเท่านั้จึงขาดองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกง ส่วนที่โจทก์อ้างว่าโดยการหลอกลวงของจำเลยดังกล่าวเป็นเหตุให้ธนาคารออมสิน สาขาสระบุรีได้จ่ายเงินชดเชยค่าใช้จ่ายและเงินรับรองในการหาผู้ฝากและเงินสมนาคุณแพทย์ผู้ตรวจร่างกายผู้เข้าทำสัญญาฝากเงินกับธนาคารออมสินให้แก่จำเลยนั้น ก็เป็นเรื่องที่ธนาคารออมสิน สาขาสระบุรี จ่ายให้จำเลยไปตามระเบียบข้อบังคับหรือตามสัญญาซึ่งมีข้อผูกพันที่จะต้องจ่ายให้แก่จำเลย หาใช่จ่ายให้จำเลยโดยเหตุที่จำเลยหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จดังที่ได้กล่าวในตอนต้นไม่ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งการที่ธนาคารออมสิน สาขาสระบุรี จ่ายเงินชดเชยค่าใช้จ่ายและเงินรับรองกับเงินสมนาคุณแพทย์ให้แก่จำเลยนั้น มิใช่ผลโดยตรงจากการที่จำเลยหลอกลวงประชาชน การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงส่วนฐานความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐนั้น ได้ความจากคำเบิกความของนายบุญเชิญ แขวงโสภา ผู้จัดการออมสินภาคนายนิพัฒน์ นิยมาคม หัวหน้ากองการพนักงานธนาคารออมสิน สำนักงานใหญ่และนายเกษม สุขโข ผู้จัดการธนาคารออมสิน สาขาบ้านหมี่ ซึ่งขณะเกิดเหตุเป็นผู้จัดการธนาคารออมสิน สาขาสระบุรี พยานโจทก์ว่าจำเลยเป็นพนักงานธนาคารออมสิน สาขาสระบุรี ตำแหน่งพนักงานบริการรับใช้มีหน้าที่เก็บกวาดบริการภายในธนาคารออมสิน และงานอื่นตามแต่ผู้จัดการจะใช้ เกี่ยวกับการหาผู้ฝากเงินออมสินประเภทสงเคราะห์ชีวิและครอบครัวแบบเพิ่มพูนทรัพย์นั้น ธนาคารออมสิน เปิดโอกาสให้พนักงานธนาคารออมสินหาเงินฝากประเภทดังกล่าวได้ในเวลานอกราชการและวันหยุดราชการ และเมื่อหาผู้ฝากได้แล้วก็มีสิทธิที่จะได้รับเงินตอบแทนให้เป็นเงินชดเชยค่าใช้จ่ายและค่ารับรองจากธนาคาร เป็นการเพิ่มพูนรายได้ให้แก่พนักงานธนาคาร การหาผู้ฝากเงินให้เป็นไปตามความสมัครใจของพนักงานแต่ละคน นอกจากพนักงานธนาคารออมสินเองแล้วธนาคารออมสินยังให้สิทธิแก่นิสิตนักศึกษาตามสถาบันต่าง ๆ ตลอดจนครอบครัวของพนักงานออมสินที่จะหาผู้เข้าทำสัญญาฝากเงินกับธนาคารได้ด้วย การที่จำเลยหาผู้มาทำสัญญาฝากเงินประเภทสงเคราะห์ชีวิตและครอบครัวแบบเพิ่มพูนทรัพย์จึงมิใช่หน้าที่โดยตรงของจำเลยเห็นว่าตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๑๑ บัญญัติว่า “ผู้ใดเป็นพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต…” เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการที่จำเลยหาผู้ฝากเงินประเภทสงเคราะห์ชีวิตและครอบครัวไม่ใช่งานในหน้าที่โดยตรงของจำเลย และผู้บังคับบัญชาของจำเลยก็มิได้มีคำสั่งให้จำเลยปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวแล้วแต่ประการใด ดังนั้นแม้จะฟังได้ว่าจำเลยทำหลักฐานเท็จขอเบิกเงินชดเชยค่าใช้จ่ายและค่ารับรองในการหาผู้ฝากเงินประเภทสงเคราะห์ชีวิตและครอบครัวดังที่โจทก์ฟ้องการกระทำของจำเลยก็ไม่เป็นความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าว คดีไม่จำต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานของจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share