คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2549/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยใช้มีดฟันทำร้ายผู้เสียหายเพราะโกรธที่ผู้เสียหายไม่จ่ายค่าแรงบุตรชายจำเลยตามที่จำเลยทวง มิใช่เพื่อความสะดวกหรือเพื่อเอาเครื่องสูบน้ำของผู้เสียหายไป ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากการทำร้ายร่างกายขาดตอนแล้ว จำเลยไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์ แต่จำเลยไม่มีอำนาจเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปโดยพลการแม้จำเลยยึดเอาไปไว้ให้ผู้เสียหายไปจ่ายค่าแรงบุตรชายจำเลยจึงจะคืนให้ ก็ถือได้ว่าจำเลยเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปโดยมีเจตนาทุจริตอันเป็นความผิดฐานลักทรัพย์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๙, ๓๖๔,๓๖๕ คืนเครื่องสูบน้ำของกลางแก่ผู้เสียหาย และริบมีดเหลียนของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๙๕, ๘๐ ให้จำคุก ๒ เดือน ให้ยกฟ้องข้อหาบุกรุกและชิงทรัพย์ คืนเครื่องสูบน้ำให้ผู้เสียหายและริบมีดเหลียนของกลาง
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๙ วรรคสอง, ๓๖๕ ให้ลงโทษตามมาตรา ๓๓๙วรรคสอง บทหนัก ให้จำคุกจำเลยไว้ ๑๐ ปี ให้คืนเครื่องสูบน้ำให้ผู้เสียหายและริบมีดเหลียนของกลาง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘มีปัญหาในชั้นนี้ตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยได้กระทำผิดฐานบุกรุก ทำร้ายร่างกายและชิงทรัพย์หรือไม่ พิเคราะห์แล้วในข้อหาฐานบุกรุกนั้นข้อเท็จจริงฟังได้แล้วว่า ผู้เสียหายค้างค่าแรงบุตรชายของจำเลยจริงการที่จำเลยเข้าไปในบ้านผู้เสียหายหเพื่อทวงค่าแรงดังกล่าวเป็นการเข้าไปโดยมีเหตุสมควรโดยสุจริต แม้จำเลยจะได้ถือมีดไปด้วยแต่ก็เป็นเพียงมีดเหลียนซึ่งโดยทั่วๆ ไปใช้สำหรับหวดหญ้าและไม่ปรากฏข้อเท็จจริงอื่นใดที่ทำให้เห็นว่าจำเลยตั้งใจจะไปทำร้ายผู้เสียหายตั้งแต่แรกจึงไม่อาจถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาบุกรุก ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานนี้ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังขึ้น
สำหรับข้อหาฐานทำร้ายร่างกายนั้น โจทก์มีผู้เสียหายกับนางสาวกาหลงและนางประจวบ จ่าทองคำ น้องสาวสามีของผู้เสียหายเบิกความว่า อยู่บ้านเดียวกันและอยู่ในที่เกิดเหตุ พยานเหล่านี้ต่างเบิกความยืนยันว่า จำเลยถือมีดเหลียนเข้าไปในบ้านผู้เสียหาย เมื่อทวงค่าแรงจากผู้เสียหายไม่ได้ จำเลยใช้มีดเหลียนดังกล่าวฟันผู้เสียหายแต่ถูกแขนเสื้อผู้เสียหายขาด ศาลฎีกาเห็นว่า เหตุเกิดเวลากลางวันไม่มีปัญหาว่าพยานจะเห็นไม่ชัด พยานโจทก์ต่างเบิกความสอดคล้องต้องกัน และไม่ปรากฏว่ามีเหตุที่พยานเหล่านี้จะเบิกความปรักปรำจำเลยโดยไม่เป็นความจริง นอกจากนี้ยังมีร้อยตำรวจเอกพงษ์วรรธน์บุญประเสริฐ ผู้รับแจ้งเหตุเบิกความว่า ตอนที่ผู้เสียหายไปแจ้งเหตุต่อพยานหลังเกิดเหตุไม่นานนั้น พยานเห็นที่แขนเสื้อของผู้เสียหายหข้างหนึ่งมีรอยฉีกขาดเมื่อพยานถามว่ารอยแขนเสื้อขาดเกิดจากอะไร ผู้เสียหายก็บอกว่าถูกฟัน พยานกับผู้เสียหายได้ไปที่บ้านจำเลยพบจำเลย ผู้เสียหายได้ชี้ให้ดูมีดเหลียนที่จำเลยใช้เป็นอาวุธซึ่งวางอยู่กับพื้นในบริเวณบ้าน พยานจึงได้ยึดมีดเหลียนดังกล่าวมาเป็นของกลางกับร้อยตำรวจเอกสนิท นามโชติ พนักงานสอบสวนเบิกความว่า ขณะที่ผู้เสียหายแจ้งความต่อพยานอีกครั้งหนึ่งตอนที่เจ้าพนักงานตำรวจนำตัวจำเลยไปมอบให้พยาน พยานเห็นเสื้อของผู้เสียหายมีรอยขาดที่แขนซ้าย และผู้เสียหายยืนยันว่ามีดเหลียนของกลางเป็นมีดเหลียนที่จำเลยนำติดตัวไป คำเบิกความของเจ้าพนักงานตำรวจยืนยันข้อเท็จจริงที่สอดคล้องกับคำเบิกความของผู้เสียหายและประจักษ์พยานคนอื่นๆ คดีจึงฟังได้ว่า จำเลยนำมีดเหลียนไปที่บ้านผู้เสียหายด้วย และเมื่อผู้เสียหายไม่จ่ายค่าแรงให้จำเลย จำเลยก็ได้ใช้มีดเหลียนฟันผู้เสียหายแต่ไม่ถูกตัวผู้เสียหาย คงถูกแต่แขนเสื้อของผู้เสียหายขาดอันเป็นการพยายามทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย
ส่วนปัญหาที่ว่า จำเลยได้กระทำผิดฐานชิงทรัพย์หรือไม่นั้นเห็นว่า จำเลยทวงค่าแรงจากผู้เสียหายไม่ได้ จำเลยจึงใช้มีดเหลียนฟันพยายามทำร้ายผู้เสียหาย เชื่อว่าเป็นการฟันผู้เสียหายเพราะโกรธที่ผู้เสียหายไม่จ่ายค่าแรงตามที่จำเลยทวง มิใช่เป็นการฟันผู้เสียหายเพื่อความสะดวกหรือเพื่อเอาเครื่องสูบน้ำของผู้เสียหายไป การเอาเครื่องสูบน้ำของผู้เสียหายไปเกิดขึ้นหลังจากการทำร้ายร่างกายขาดตอนไปแล้ว จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์ แต่การที่จำเลยเอาเครื่องสูบน้ำของผู้เสียหายไป แม้จะฟังได้ตามทางนำสืบของจำเลยว่า จำเลยยึดเอาไปไว้ให้ผู้เสียหยไปจ่ายค่าแรงบุตรชายจำเลย จำเลยจึงจะคืนให้ ก็ถือได้ว่าจำเลยเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปโดยมีเจตนาทุจริตอันเป็นความผิดฐานลักทรัพย์แล้ว เพราะจำเลยไม่มีอำนาจเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปโดยพลการได้ ที่จำเลยอ้างว่าจำเลยเข้าใจว่าจำเลยกระทำได้ ก็ฟังไม่ขึ้น ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕, ๘๐ และมาตรา ๓๓๕ (๗) วรรคแรก เป็นความผิดสองกระทง ให้ลงโทษสำหรับความผิดกระทงแรกจำคุก ๒ เดือน กระทงหลังจำคุก ๒ ปีรวมเป็นจำคุก ๒ ปี ๒ เดือน ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share