คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2304/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ก่อนเจ้ามรดกถึงแก่ความตายได้ พูดยกที่ดินมือเปล่าให้แก่บุตรแต่ละคน โดยบุตรคนไหนปลูกบ้านอยู่ในที่ดินส่วนใด ก็ยกที่ดินส่วนนั้นให้ โจทก์ซึ่งเป็นบุตรเจ้ามรดกได้ปลูกบ้านในที่ดินพิพาท และได้ครอบครองที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของตลอดมา แม้ต่อมาภายหลังจำเลยจะไปขอรับมรดกที่ดินพิพาท ซึ่งมี ส.ค.1 แล้วขอให้ทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่จำเลย แต่เมื่อโจทก์ยังคงครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมา จึงหาทำให้จำเลยได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรังวัดจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓) เลขที่ ๑๑๙ เล่มที่ ๖ หน้า ๒๔ หมู่ที่ ๓ ตำบลหัวดง อำเภอเก้าเลี้ยว จังหวัดนครสวรรค์ ต่อเจ้าพนักงานที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสองมีเนื้อที่คนละ ๑ งาน ๒ ตารางวาเศษ…. หากจำเลยไม่ไปรังวัดตามที่กล่าวข้างต้น ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยได้ขอออก น.ส.๓ และปลูกบ้านอยู่ในที่ดินพิพาทมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๓ จึงถือว่าได้แย่างการครอบครองที่ดินพิพาทโดยเจตนายึดถือเพื่อตนโดยสงบ โดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลา ๑๒ ปี ฟ้องโจทก์ทั้งสองขาดอายุความ โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยรังวัดจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินพิพาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฝ่ายโจทก์มีตัวโจทก์ทั้งสอง นางเอื้อน ยืนยงค์และนางสายทอง ยิ้มเจริญ เบิกความทำนองเดียวกันว่า โจทก์ทั้งสองปลูกบ้านอยู่ในที่ดินพิพาทตั้งแต่เมื่อนางผิง นายรอด ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อนายรอดถึงแก่กรรมได้มีการแบ่งทรัพย์มรดกของนางผิงนายรอดตามพินัยกรรมที่นายรอดได้ทำไว้ตามเอกสารหมาย จ.๖ หรือ จ.๑๒ สำหรับที่ดินซึ่งเป็นบ้านรวมทั้งที่ดินพิพาทนี้ไม่ได้ระบุไว้ในพินัยกรรม โดยโจทก์ทั้งสองเบิกความว่า ก่อนนายรอดถึงแก่กรรมได้พูดยกที่ดินที่บุตรแต่ละคนปลูกบ้านอยู่ตรงไหนก็ให้ได้ที่นั้น นอกจากนี้ยังมีนายยุทธ รองอ่ำ ซึ่งเป็นทั้งผู้ใหญ่บ้านและกำนันในท้องที่ที่ดินพิพาทตั้งอยู่เบิกความว่า เห็นโจทก์ทั้งสองปลูกบ้านอยู่ในที่ดินของบิดามารดาตลอดระยะเวลาที่พยานเป็นผู้ใหญ่บ้านและกำนันมา ๓๓ ปี ไม่เคยเห็นโจทก์ทั้งสองย้ายไปอยู่ที่อื่น และว่านายรอดได้ให้พยานเป็นผู้เขียนพินัยกรรมตามเอกสารหมาย จ.๖ หรือ จ.๑๒ ส่วนฝ่ายจำเลยมีนายประภาส ยืนยงค์ ผู้เข้าเป็นคู่ความแทน ที่จำเลย นายสมุทร จันทรัตน์ นางน้อย วิเชียรวรรณ และนายบรรเจิด ยืนยงค์ เบิกความทำนองเดียวกันว่า เอกสารหมาย จ.๖ หรือ จ.๑๒ ไม่ใช่พินัยกรรมของนายรอด เมื่อนายรอดถึงแก่กรรมบรรดาทายาทได้ตกลงแบ่งทรัพย์มรดกกัน โดยจำเลยได้ที่ดินซึ่งเป็นที่บ้านของนายรอด นางผิง ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๔ โจทก์ทั้งสองจึงมาขอปลูกบ้านในที่ดินพิพาทจากจำเลย เห็นว่าพยานโจทก์จำเลยทั้งสองฝ่ายต่างเป็นญาติสนิทกันทั้งนั้น คงมีแต่นายยุทธ รองอ่ำ พยานโจทก์เท่านั้นที่เป็นบุคคลภายนอกคดีไม่มีส่วนได้เสียกับฝ่ายใด ทั้งพยานปากนี้ยังเป็นผู้ปกครองท้องที่โดยเป็นทั้งผู้ใหญ่บ้านและกำนันในหมู่บ้านที่เกิดเหตุ ย่อมจะทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด คำเบิกความของนายยุทธจึงมีน้ำหนักในการรับฟัง ที่จำเลยนำสืบว่าเอกสารหมาย จ.๖ หรือ จ.๑๒ ไม่ใช่พินัยกรรมของนายรอดนั้น ก็เป็นเพียงคำเบิกความกล่าวอ้างของพยานจำเลยลอย ๆ หามีหลักฐานอื่นใดสนับสนุนไม่ ส่วนโจทก์นอกจากจะมีพินัยกรรมดังกล่าว และมีนายยุทธผู้เขียนพินัยกรรมมาเบิกความรับรองแล้ว ยังปรากฏว่าที่ดินที่บรรดาทายาทของนายรอดได้รับส่วนแบ่งไปตามที่จำเลยนำสืบ ต่างตรงกับพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.๖ หรือ จ.๑๒ พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักกว่าฝ่ายจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ทั้งสองได้ปลูกบ้านในที่ดินพิพาทขณะที่นางผิงนายรอดยังมีชีวิตอยู่ หาใช่โจทก์ทั้งสองเพิ่มมาขออนุญาตจำเลยปลูกบ้านในที่ดินพิพาทเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๔ ดังที่จำเลยนำสืบไม่ ทั้งข้อเท็จจริงยังรับฟังได้ต่อไปว่า พินัยกรรมตามเอกสารหมาย จ.๖ หรือ จ.๑๒ เป็นพินัยกรรมของนายรอดอีกด้วย ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป้นอย่างใดที่บรรดาทายาทของนายรอดจะต้องมาตกลงแบ่งทรัพย์มรดกดังที่จำเลยอ้างกันอีก และโดยเหตุที่พินัยกรรมของนายรอดดังกล่าวไม่ได้ระบุถึงที่ดินอันเป็นที่บ้านตาม ส.ค.๑ เอกสารหมาย จ.๑ ซึ่งรวมถึงที่ดินพิพาทนี้ด้วย กรณีจึงมีเหตุผลน่าเชื่อว่า นายรอดได้ยกที่ดินดังกล่าวให้แก่บุตรของตนที่ปลูกบ้านอยู่ในที่ดินแปลงนั้นไปแล้ว โดยบุตรคนไหนปลูกบ้านอยู่ในที่ดินส่วนใดก็ยกที่ดินส่วนนั้นให้ดังที่โจทก์ทั้งสองนำสืบ ดังนั้นพินัยกรรมของนายรอดจึงมิได้กล่าวถึงที่ดินตาม ส.ค.๑ เอกสารหมาย จ.๑ อีก เมื่อโจทก์ทั้งสองได้ครอบครองที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของตลอดมา แม้ต่อมาภายหลังจำเลยจะไปขอรับมรดกที่ดินตาม ส.ค.๑ เอกสารหมาย จ.๑ แล้วขอให้ทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่จำเลยตามเอกสารหมาย ล.๑ ซึ่งรวมถึงที่ดินพิพาทด้วย แต่เมื่อโจทก์ทั้งสองยังคงครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาเช่นนี้ หาทำให้จำเลยได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทของโจทก์ทั้งสองไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยไปขอทำการรังวัดจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินตามแผนที่วิวาทฉบับรังวัดวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๒๖ ให้โจทก์ที่ ๑ ได้ภายในเส้นสีเขียว โจทก์ที่ ๒ ได้ภายในเส้นสีแดงนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share