คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1489/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยขับรถยนต์โดยประมาทชนผู้ตายแล้วจำเลยนำผู้ตายไปส่งโรงพยาบาลในทันทีหลังจากเกิดเหตุ โดยมิได้แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จะถือว่าจำเลยหลบหนีไปจนเป็นเหตุให้ผู้ตายได้รับอันตรายถึงตายตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 160 วรรคสองหาได้ไม่ จำเลยคงมีความผิดตาม มาตรา 160 วรรคแรก เท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์โดยสารประจำทางด้วยความประมาท โดยขับด้วยความเร็วสูงและไม่ระมัดระวังเป็นเหตุให้รถคันที่จำเลยขับเฉี่ยวชนนายสง่า โพธิ์สะอาด ซึ่งเดินข้ามถนนล้มลงและได้รับอันตรายสาหัสถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา เมื่อจำเลยได้ขับรถยนต์โดยสารประจำทางก่อให้เกิดอันตรายความเสียหายแก่นายสง่า โพธิ์สะอาด แล้ว จำเลยไม่แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ใกล้เคียงทันทีกลับหลบหนีไปเป็นการไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๗๘ แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็นเหตุให้นายสง่า โพธิ์สะอาด ได้รับอันตรายถึงตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑, ๙๑ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓ (๔), ๗๘, ๑๖๐, ๑๖๒ และเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ของจำเลย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓ (๔), ๑๕๗ การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวแต่ผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑ ซึ่งเป็นบทหนักตามมาตรา ๙๐ ให้จำคุก ๔ ปี และลงโทษตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๗๘, ๑๖๐ อีกกระทงหนึ่งให้จำคุก ๒ เดือน รวมโทษจำคุก ๔ ปี ๒ เดือน ส่วนคำขอที่ให้เพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ของจำเลยนั้น ตามพฤติการณ์แห่งคดียังไม่สมควรเพิกถอน จึงให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยขับรถไปชนผู้ตายจนได้รับอันตรายแก่กายถึงสาหัสและถึงความตายในเวลาต่อมา เกิดจากความประมาทของจำเลยแต่เพียงฝ่ายเดียว และเมื่อจำเลยขับรถชนผู้ตายแล้วจำเลยมิได้แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ คดีจึงรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกด้วย คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น แต่ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลย ๒ เดือน ซึ่งน่าจะเป็นโทษตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก มาตรา ๗๘, ๑๖๐ วรรคสองนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าไม่ถูกต้องเพราะการที่จำเลยได้นำผู้ตายไปส่งโรงพยาบาลในทันทีหลังจากเกิดเหตุ จะถือว่าจำเลยหลบหนีไปจนเป็นเหตุให้ผู้ตายได้รับอันตรายถึงตายตามมาตรา ๑๖๐ วรรคสองหาได้ไม่ จำเลยจึงคงมีความผิดตามมาตรา ๑๖๐ วรรคแรกเท่านั้น จึงเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓ (๔), ๑๕๗ การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวแต่ผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑ ซึ่งเป็นบทหนักตามมาตรา ๙๐ ให้จำคุก ๔ ปี และลงโทษตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๗๘, ๑๖๐ วรรคแรก ให้จำคุก ๑ เดือน รวมโทษจำคุก ๔ ปี ๑ เดือน นอกจากนี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share