แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานปลอมเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งว่าคดีไม่มีมูล ดังนี้ โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ
ฟ้องของโจทก์ในความผิดฐานเบิกความเท็จมิได้บรรยายว่าจำเลยเบิกความว่าอย่างไร ที่โจทก์ถือว่าจำเลยเบิกความเท็จในข้อสำคัญในคดี ส่วนในความผิดฐานนำสืบหรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จก็มิได้บรรยายว่าเหตุเกิดขึ้นเมื่อไร ดังนี้ เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑ เป็นผู้ประมูลราคาก่อสร้างท่อร้อยสายเคเบิ้ลใต้ดินได้ และได้ทำสัญญากับองค์การโทรศัพท์ จำเลยที่ ๒ ในฐานะกรรมการผู้จัดการจำเลยที่ ๑ ได้ขอเข้าเป็นหุ้นส่วนร่วมกับโจทก์ที่ ๑ ด้วย โจทก์ทั้งสองตกลง โดยให้จำเลยที่๑ จัดส่งท่อพลาสติกไปยังหน่วยงาน ส่วนโจทก์ทั้งสองก็จัดหาวัตถุอื่นและเงินลงทุน
ครั้นเมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๑๗ จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ในฐานะกรรมการผู้จัดการและนายวินันท์ ณัฐรุจิโรจน์ กรรมการ ได้ฟ้องโจทก์ทั้งสองเป็นจำเลยเรียกเงินค่าซื้อเชื่อท่อพลาสติก ศาลแพ่งพิพากษาให้โจทก์ที่ ๑ ใช้ค่าท่อพลาสติกตามฟ้องเหตุที่จำเลยชนะคดีโจทก์เพราะระหว่างตั้งแต่วันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ จนถึงสิ้นเดือนเมษายน ๒๕๑๖ เวลากลางวันและกลางคืน จำเลยทั้งสองได้บังอาจสมคบกันปลอมแปลงใบส่งของ สร้างหลักฐานอันเป็นเท็จให้การเท็จว่าโจทก์ทั้งสองสั่งซื้อเชื่อท่อพลาสติก และค้างเงินจำเลยที่ ๑ อยู่ ปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายเอกสารใบส่งของอันเป็นเท็จรวม ๒๙ ฉบับท้ายคำฟ้อง
ในวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๑๗ เวลากลางวัน จำเลยที่ ๒ ได้สาบานตนเข้าเบิกความเป็นพยานอันเป็นพยานเท็จในการพิจารณาคดีของศาลแพ่งคดีหมายเลขดำที่ ๖๗๓/๒๕๑๗ แดงที่ ๒๖๖๙/๒๕๑๘ ซึ่งความจริงโจทก์ไม่ได้สั่งซื้อเชื่อท่อพลาสติกของจำเลยและค้างเงินอยู่แต่อย่างใด แต่เป็นเรื่องที่จำเลยได้ส่งท่อพลาสติกจำนวนหนึ่งไปเข้าหุ้นส่วนกับโจทก์ตามที่ตกลงกัน ใบส่งของที่ส่งท่อพลาสติกไปเป็นอีกยอดหนึ่งต่างหาก ไม่ใช้ใบส่งของที่จำเลยอ้างไว้ในคดีแพ่ง จำเลยที่ ๒ เบิกความเท็จและนำสืบหรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีของศาลอันเป็นข้อสำคัญในคดีเป็นเหตุให้ศาลแพ่งหลงเชื่อว่าเป็นความจริง ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๔,๑๗๗,๑๘๐
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ววินิจฉัยว่า เฉพาะความผิดฐานปลอมเอกสารไม่มีมูลความผิด ส่วนความผิดฐานเบิกความเท็จนำสืบแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จ เป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ (๕) ไม่ชอบที่จะรับไว้พิจารณา พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ความผิดฐานปลอมเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๔ ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๓ ทวิ ส่วนความผิดฐานเบิกความเท็จและนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ เป็นฟ้องเคลือบคลุม พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาในความผิดฐานปลอมเอกสารว่าคำสั่งศาลที่ว่าคดีไม่มีมูลนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องวินิจฉัยชี้ขาดถึงความผิดขั้นลงโทษแก่จำเลยแต่อย่างไร โจทก์จึงมีสิทธิอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ เห็นว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๗๐ คำสั่งศาลที่ว่าคดีไม่มีมูลนั้น โจทก์มีอำนาจอุทธรณ์ฎีกาได้ตามบทบัญญัติว่าด้วยลักษณะอุทธรณ์ฎีกา เมื่ออัตราโทษในความผิดฐานปลอมเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๔ ให้จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๓ ทวิ ห้ามมิให้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริงในคดีซึ่งอัตราโทษอย่างสูงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับและกรณีไม่อยู่ในข้อยกเว้นที่จะอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ คดีโจทก์ก็ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ปัญหาเรื่องฟ้องโจทก์ในความผิดอีกสองฐานจะเป็นฟ้องที่สมบูรณ์หรือไม่นั้นเฉพาะในความผิดฐานเบิกความเท็จ โจทก์มิได้บรรยายฟ้องไว้เลยว่าจำเลยเบิกความว่าอย่างไร ที่โจทก์ถือว่าจำเลยเบิกความเท็จในข้อสำคัญในคดี ส่วนในความผิดฐานนำสืบหรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จ แม้พอจะอนุมานตามคำฟ้องโจทก์ได้ว่า พยานหลักฐานสำคัญที่จำเลยนำสืบหรือแสดงอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดี ก็คือสำเนาภาพถ่ายเอกสารใบส่งของ ๒๙ ฉบับท้ายคำฟ้อง แต่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องไว้เลยว่า เหตุเกิดขึ้นเมื่อไร ฟ้องโจทก์ในความผิดทั้งสองฐานนี้จึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘
พิพากษายืน