คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1650/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นส่วนราชการของรัฐบาลฟ้องบังคับตามสัญญาค้ำประกันที่ไม่ปิดอากรแสตมป์ เมื่อตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ข้อ 17 (ก) กำหนดให้ผู้ค้ำประกันเป็นผู้ต้องเสียค่าอากรแสตมป์และขีดฆ่าอากรแสตมป์ หาใช่ฝ่ายที่ต้องเสียอากรเป็นรัฐบาลอันจะได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียอากรตามความหมายในมาตรา 121 แห่งประมวลรัษฎากรไม่
จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันยอมใช้เงินแทนจำเลยที่ 1 ซึ่งผิดสัญญาได้รับทุนจากระทรวงกลาโหมโจทก์ไปศึกษาต่างประเทศแล้วกลับมารับราชการไม่ครบกำหนดสัญญา เมื่อสัญญาค้ำประกันมิได้ปิดอากรแสตมป์ให้บริบูรณ์ ย่อมจะใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีไม่ได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118
แม้จำเลยที่ 2 จะขาดนัด โจทก์ก็ยังมีหน้าที่นำสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดชอบสัญญาค้ำประกันจริง เมื่อเอกสารสัญญาค้ำประกันใช้เป็นหลักฐานในคดีมิได้คดีย่อมไม่มีทางที่จะให้จำที่ 2 รับผิดตามฟ้องโจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ ซึ่งได้รับทุนไปศึกษา ณ ประเทศสหรัฐอเมริกาตามความต้องการของโจทก์ ได้ทำสัญญาไว้แก่โจทก์ว่า เมื่อจำเลยที่ ๑ ไปศึกษาวิชาครบตามที่โจทก์กำหนดไว้ และเมื่อโจทก์เรียนจำเลยที่ ๑ กลับเข้ารับราชการแล้วจำเลยที่ ๑ จะอยู่รับราชการในสังกัดโจทก์เป็นเวลา ๒ เท่าของเวลาที่ไปศึกษา แต่ไม่น้อยว่า ๓ ปีหรือครบ ๑๐ ปีเป็นอย่างมากนับแต่กลับมารับราชการในสังกัดโจทก์ ภายในเวลาดังกล่าวจำเลยที่ ๑ จะไม่ลาออกหรือโอนไปทำงานที่อื่น ถ้าจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาจำเลยที่ ๑ ยอมใช้เงินเป็นจำนวน ๓ เท่าของรายเดือนและค่าใช้จ่ายทั้งสินที่ทางราชการได้จ่ายให้เนื่องในการไปศึกษาดังกล่าวให้แก่โจทก์ โดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน เมื่อจำเลยที่ ๑ สำเร็จการศึกษากลับมาแล้ว โจทก์ได้บรรจุจำเลยที่ ๑ ให้รับราชการสังกัดกรมอู่ทหารเรือซึ่งอยู่ในสังกัดโจทก์ตามความต้องการของโจทก์ ต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้หนีราชการจนกระทั่งถูกถอดยศและปลดประจำการเป็นผิดสัญญา จำเลยที่ ๑ จะต้องใช้เงินให้แก่โจทก์ตามสัญญา จำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ค้ำประกันจะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ จึงขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียว แล้วพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ใช้เงินและดอกเบี้ยตามฟ้อง ส่วนจำเลยที่ ๒ ปรากฏว่าสัญญาค้ำประกันไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ข้อ ๑๗ จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ ตามประมวลรัษฎากรมาตรา ๑๑๘ เท่ากับการค้ำประกันรายนี้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ จึงให้ยกฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒
โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์เป็นส่วนราชการของรัฐบาล ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียอากรตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๒๑ โจทก์จึงไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ในสัญญาค้ำประกัน สัญญาค้ำประกันดังกล่าวจึงรับฟังเป็นหลักฐานในคดีแพ่งได้ จำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ค้ำประกันต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่๑ ใช้เงินให้โจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาได้รับทุนจากโจทก์ไปศึกษาต่างประเทศ เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจำเลยที่ ๑ กลับมา รับราชการในสังกัดโจทก์ไม่ครบกำหนดเวลา ๓ ปีตามสัญญา จำเลยต้องใช้เงินให้โจทก์ตามสัญญาเป็นเงิน ๑๓๕,๑๗๘ บาท ๕๖ สตางค์ โดยเฉพาะจำเลยที่ ๒ ทำสัญญาค้ำประกันยอมใช้เงินแทนจำเลยที่ ๑ ซึ่งผิดสัญญาจนครบถ้วนทันทีเมื่อได้รับการถวงถาม จำเลยที่ ๒ ได้รับการทวงถามจากโจทก์แล้วก็เพิกเฉย แต่ปรากฏว่าสัญญาค้ำประกันมิได้ปิดอากรแสตมป์
ปัญหาว่าสัญญาค้ำประกันนั้นจะรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่ามาตรา ๑๑๘ แห่งประมวลรัษฎากรบัญญัติว่า”ตราสารใดไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์จะใช้ต้นฉบับ คู่ฉบับ คู่ฉีกหรือสำเนาตราสารนั้นเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ จนกว่าจะได้เสียอากรโดยปิดแสตมป์ครบจำนวนอัตราในบัญชีท้ายหมวดนี้และขีดฆ่าแล้ว แต่ทั้งนี้ไม่เป็นการเสื่อมสิทธิที่จะเรียกเงินเพิ่มอากรตามมาตรา ๑๑๓ และ มาตรา ๑๑๔” และบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายหมวดนี้ข้อ ๑๗ (ก) กำหนดให้ผู้ค้ำประกันเป็นผู้ต้องเสียค่าอากรแสตมป์ ๑ บาท และต้องขีดฆ่าอากรแสตมป์นั้น ซึ่งเห็นได้ว่ากฎหมายมุ่งประสงค์ให้ผู้ค้ำประกันเป็นผู้เสียอากรแสตมป์และเป็นผู้ขีดฆ่าอากรแสตมป์หาใช่ฝ่ายที่ต้องเสียอากรเป็นรัฐบาลอันจะได้รับยกเว้นไม่เสียอากรตามความหมายในมาตรา ๑๒๑ แห่งประมวลรัษฎากรดังที่โจทก์ฎีกาขึ้นมาไม่ ฉะนั้นเมื่อสัญญาค้ำประกันฉบับนี้มิได้ปิดแสตมป์ให้บริบูรณ์ ย่อมจะใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีนี้มิได้ ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร ๑๑๘ คดีนี้แม้ว่าจำเลยที่ ๒ จะขาดนัด โจทก์ก็ยังมีหน้าที่นำสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันจริง เมื่อเอกสารสัญญาค้ำประกันใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีนี้มิได้ดังวินิจฉัยมาแล้ว คดีย่อมไม่มีทางให้จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดดังฟ้องได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ ๒ คงให้จำเลยที่ ๑ รับผิดใช้เงินให้โจทก์เพียงคนเดียวนั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share