คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 943/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องโจทก์มีทุนทรัพย์ 37,500 บาท ส่วนฟ้องแย้งมีทุนทรัพย์ 30,000 บาท คำขออื่นตามฟ้องแย้งเป็นคำขอไม่มีทุนทรัพย์ต่อเนื่องจากคำขอมีทุนทรัพย์ ดังนั้น ทุนทรัพย์ที่พิพาทตามฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 จึงไม่เกินห้าหมื่นบาท เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 มาตรา 6
การที่จำเลยนำสืบว่าสัญญาเช่าซื้อเป็นนิติกรรมอำพรางสัญญากู้ยืมตกเป็นโมฆะใช้บังคับไม่ได้นั้น มิใช่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร หากแต่เป็นการนำสืบหักล้างสัญญาเช่าซื้อว่าไม่ถูกต้องสมบูรณ์ทั้งหมด จำเลยนำสืบได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ เช่าซื้อรถยนต์ไปจากโจทก์ในราคา ๓๗,๕๐๐ บาท จำเลยที่ ๒ ค้ำประกันยอมรับผิดเช่นเดียวกับจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ มิได้ชำระค่าเช่าซื้อเลย ถือว่าจำเลยทั้งสองผิดนัดผิดสัญญา โจทก์มีหนังสือทวงถามและบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยทั้งสอง จำเลยที่ ๑ ยังครอบครองรถยนต์ของโจทก์อยู่ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกับคืนรถยนต์ในสภาพที่เรียบร้อย ถ้าไม่สามารถปฏิบัติได้ก็ให้ใช้ราคารถกับให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย
จำเลยที่ ๑ ให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง รถยนต์ตามสัญญาเช่าซื้อเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ต้องการกู้ยืมเงินโจทก์ ๓๐,๐๐๐ บาท จึงนำรถยนต์ไปเป็นหลักประกันการกู้ยืม โจทก์ให้กู้โดยวิธีโอนทะเบียนรถยนต์มาเป็นของโจทก์แล้วให้จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าซื้อไป การผ่อนชำระต้นเงินคืนทำเป็นชำระค่าเช่าซื้อ โดยรวมดอกเบี้ยเกินอัตราตามกฎหมายเข้าไปด้วย สัญญาเช่าซื้อเป็นนิติกรรมอำพรางการกู้เงินใช้บังคับไม่ได้ ต้องบังคับตามสัญญากู้ยืมทั้งดอกเบี้ยตกเป็นโมฆะ ตามสัญญากู้ยืมโจทก์ก็ยังมิได้จ่ายเงินกู้ ๓๐,๐๐๐ บาท ให้จำเลยที่ ๑ สัญญากู้ไม่สมบูรณ์ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย จำเลยที่ ๑ ไม่เคยได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ ขอให้บังคับโจทก์ชำระเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท แก่จำเลยที่ ๑ ถ้าโจทก์ไม่ยอมก็ให้พิพากษาว่าสัญญาเช่าซื้อเป็นนิติกรรมอำพราง ตกเป็นโมฆะ คู่สัญญาคืนสู่สถานะเดิม ให้โจทก์โอนกรรมสิทธิรถยนต์คืนจำเลยที่ ๑ หากโจทก์ไม่ปฏิบัติขอให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน
จำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ฟังว่าสัญญาเช่าซื้อเป็นนิติกรรมอำพรางสัญญากู้เงินใช้บังคับจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ สัญญาค้ำประกันการเช่าซื้อจึงไม่มีผลบังคับจำเลยที่ ๒ ส่วนการกู้เงินโจทก์ยังมิได้จ่ายเงินกู้แก่จำเลยที่ ๑ รถยนต์ตามสัญญาเช่าซื้อเป็นของจำเลยที่ ๑ พิพากษายกฟ้องกับให้โจทก์โอนทะเบียนรถยนต์พิพาทให้จำเลยที่ ๑
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า สัญญาเช่าซื้อเป็นนิติกรรมอำรางสัญญากู้ จำเลยที่ ๑ มิได้นำสืบเปลี่ยนแปลงเอกสารสัญญาเช่าซื้อ จำเลยทั้งองไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาขอให้พิพากษาคดีไปตามฟ้องและยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ ๑ นั้น ฟ้องโจทก์มีทุนทรัพย์ ๓๗,๕๐๐ บาท ส่วนฟ้องแย้งมีทุนทรัพย์ ๓๐,๐๐๐ บาท คำขออื่นตามฟ้องแย้งเป็นคำขอไม่มีทุนทรัพย์ต่อเนื่องจากคำขอมีทุนทรัพย์ ดังนั้น ทุนทรัพย์ที่พิพาทตามฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลยที่ ๑ จึงไม่เกินห้าหมื่นบาท เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๘ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๖ ที่โจทก์ฎีกาว่าสัญญาเช่าซื้อมิใช่นิติกรรมอำพรางสัญญากู้เป็นการโต้เถียงปัญหาข้อเท็จจริง ไม่รับวินิจฉัยส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ ๑ นำสืบเปลี่ยนแปลงเอกสารสัญญาเช่าซื้ออันเป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้น เห็นว่าการที่จำเลยที่ ๑ นำสืบว่าสัญญาเช่าซื้อเป็นนิติกรรมอำพรางสัญญากู้ยืม ตกเป็นโมฆะ ใช้บังคับไม่ได้นั้น มิใช่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร หากแต่เป็นการนำสืบหักล้างสัญญาเช่าซื้อว่าไม่ถูกต้องสมบูรณ์ทั้งหมด จำเลยที่ ๑ นำสืบได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๔
พิพากษายืน

Share