คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 734/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ภายหลังจากวันที่จำเลยถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนสำหรับใช้เฉพาะแต่ในการสงครามไว้ในความครอบครองตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 แล้ว ได้มีพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 ออกใช้บังคับ และมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวได้บัญญัติให้บุคคลที่มีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนสำหรับใช้เฉพาะแต่ในการสงครามไว้ในความครอบครอง ซึ่งเป็นความผิดมาแต่ก่อนพระราชบัญญัติดังกล่าวใช้บังคับ ไม่ว่าการกระทำนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อใด สามารถนำมามอบให้นายทะเบียนท้องที่ได้ภายในกำหนด 90 วัน โดยผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ จึงเป็นกฎหมายที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำผิดยิ่งกว่ากฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่จำเลยถูกกล่าวหาว่ากระทำผิด ต้องใช้พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 บังคับแก่การกระทำของจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 วรรคแรก จำเลยจึงไม่ต้องรับโทษ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่กับพวกซึ่งยังจับกุมไม่ได้ ได้ร่วมกันสะสมอาวุธ และมีอาวุธปืนกลแบบ ๙๓ จำนวน ๒ กระบอก ลำกล้องปืนต่อสู่อากาศยาน ๔ ลำกล้อง อาวุธปืนเอ็ม ๗๒ จำนวน ๕๐ กระบอก กระสุนปืนกลแบบ ๙๓ จำนวน ๙๖ นัด ฐานยิงของปืนต่อสู้อากาศยาน ๓ ฐาน อันเป็นอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนสำหรับใช้แต่ในการสงครามไว้ในครอบครอง ทั้งนี้เพื่อกระทำการแบ่งแยกราชอาณาจักร หรือมิฉะนั้นเพื่อร่วมกันยึดอำนาจปกครองในส่วนใดส่วนหนึ่งแห่งราชอาณาจักร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๔, ๘๓ พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๕๕, ๗๘ พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๐๑ มาตรา ๕, ๘ กฎกระทรวง ฉบับที่ ๗ (พ.ศ. ๒๕๐๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. ๒๔๙๐ ฯลฯ
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๕๕, ๗๘ พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๐๑ มาตรา ๕, ๖ กฎกระทรวงฉบับที่ ๗ (พ.ศ. ๒๕๐๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. ๒๔๙๐ จำคุกคนละ ๘ ปี การนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษให้ ๑ ใน ๔ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุกคนละ ๖ ปี ริบอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลาง คำขออื่นของโจทก์ให้ยกเสีย ส่วนจำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ให้ยกฟ้องทุกข้อหา
โจทก์ จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ภายหลังจากวันที่จำเลยได้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนสำหรับใช้เฉพาะแต่ในการสงครามตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงไว้ในครอบครองแล้ว ได้มีพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๑๘ ออกใช้บังคับ ในมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัตินี้บัญญัติว่า “ผู้ใดมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน หรือวัตถุระเบิดสำหรับใช้เฉพาะแต่ในการสงครามตามทีกำหนดไว้ในกฎกระทรวง ถ้าได้นำอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนหรือวัตถุระเบิดดังกล่าวมามอบให้นายทะเบียนท้องที่ภายในกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ” เป็นผลให้บุคคลที่มีอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนหรือวัตถุระเบิดสำหรับใช้เฉพาะแต่ในการสงครามตามที่กำหนดในกฎกระทรวงไว้ในความครอบครอง ซึ่งเป็นความผิดมาแต่ก่อนพระราชบัญญัติดังกล่าวใช้บังคับ ไม่ว่าการกระทำนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อใด สามารถนำของเหล่านั้นมามอบให้นายทะเบียนท้องที่ได้ภายในกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ โดยผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ กฎหมายดังกล่าวเป็นกฎหมายที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดยิ่งกว่ากฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่จำเลยทั้งสองถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด กรณีจำต้องใช้พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๑๘ บังคับแก่การกระทำของจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓ วรรคแรก จึงถือว่าการกระทำของจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับโทษ
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share