คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1508/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ภรรยาโจทก์แยกยื่นแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้ต่างหากจากโจทก์เมื่อรายการที่ภรรยาโจทก์ยื่นไม่ถูกต้อง ตามความจริงหรือไม่บริบูรณ์ การออกหมายเรียกมาไต่สวนตามนัยมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร เจ้าพนักงานย่อมออกหมายเรียกไปยังภรรยาโจทก์ผู้ยื่นรายการมาทำการไต่สวน ไม่ใช่โจทก์ แต่เมื่อไต่สวนทราบจำนวนเงินภาษี อันถูกต้องแล้ว เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจแบ่งภาษีดังกล่าวออกตามส่วนของเงินได้พึงประเมินที่โจทก์และภรรยาโจทก์แต่ละฝ่ายได้รับ โดยแจ้งให้โจทก์และภรรยาโจทก์เสียเป็นคนละส่วนได้ แต่ถ้าภาษีส่วนของฝ่ายใดค้างชำระ อีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องรับผิดในการเสียภาษีที่ค้างชำระดังกล่าว ทั้งนี้ตามมาตรา 57 ตรี วรรคสาม ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานไต่สวนภรรยาโจทก์แล้วปรากฏว่าภรรยาโจทก์มีภาระต้องรับผิดชำระเงินภาษีเพิ่มเติมซึ่งโจทก์ต้องร่วมรับผิดด้วย เจ้าพนักงานประเมินจึงมีหนังสือแจ้งภาษีเงินได้ให้โจทก์ชำระโดยมิได้หมายเรียกโจทก์มาไต่สวน ย่อมเป็นการชอบแล้ว เพราะมิใช่การตรวจสอบภาษี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ ๑ ประเมินให้โจทก์เสียภาษีและเงินเพิ่มส่วนของภรรยาโจทก์ ซึ่งโจทก์ในฐานะสามีมีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการเพื่อเสียภาษีตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๕๗ ตรี โจทก์เห็นว่าคำสั่งประเมินดังกล่าวและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะภรรยาโจทก์มิใช่ผู้ประกอบการค้าและเจ้าพนักงานประเมินไม่เปิดโอกาสให้โจทก์ชี้แจงโต้แย้ง เป็นการฝ่าฝืนมาตรา ๑๙,๒๐ ขอให้พิพากษาว่าคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมายและเพิกถอนการประเมิน ของเจ้าพนักงานประเมินดังกล่าว
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า คำสั่งประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายกรณีของโจทก์ไม่ต้องด้วยมาตรา ๑๙,๒๐ แห่งประมวลรัษฎากร เพราะโจทก์และภรรยาโจทก์มิได้ยื่นแสดงรายการเพื่อชำระภาษีเงินได้สำหรับปี ๒๕๐๕ ไว้เลย ส่วนปี ๒๕๐๖ และ ๒๕๐๗ ก็ยื่นไม่ถูกต้อง โจทก์จึงต้องรับผิดชำระหนี้ภาษีเพิ่มตลอดจนเงินเพิ่มและเบี้ยปรับ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า เฉพาะภาษีปี ๒๕๐๕ ซึ่งโจทก์มีหน้าที่ต้องนำเงินได้ของภรรยาโจทก์มาแสดงในแบบยื่นรายการเพื่อเสียภาษีและรับผิดในการเสียภาษีนั้น เจ้าพนักงานประเมินมิได้ออกหมายเรียกโจทก์ไปไต่สวนภายในเวลา ๕ ปีนับแต่วันยื่นรายการ ไม่ชอบด้วยประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๙,๒๐ ส่วนภาษีปี ๒๕๐๖,๒๕๐๗ ซึ่งภรรยาโจทก์แยกยื่นรายการเพื่อเสียภาษีต่างหากจากโจทก์ แต่ภรรยาโจทก์ยื่นไว้ไม่ครบถ้วน เจ้าพนักงานได้ไต่สวนภรรยาโจทก์ภายในกำหนดเวลาโดยชอบและแจ้งให้โจทก์ทราบแล้ว โจทก์ขอให้เพิกถอนประเมินในส่วนนี้ไม่ได้ พิพากษาให้เพิกถอนการประเมินภาษีและคำวินิจฉัยอุทธรณ์เกี่ยวกับภาษีปี พ.ศ. ๒๕๐๕ นอกจากนี้ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า กรณีที่เจ้าพนักงานประเมินตรวจพบว่า นางสมบูรณ์สุข ดีวาจิน ภรรยาโจทก์แสดงรายการเพื่อภาษีเงินได้ในปี พ.ศ. ๒๕๐๖,๒๕๐๗ ไม่ถูกต้องตามความจริงหรือไม่บริบูรณ์ ซึ่งนางสมบูรณ์สุข ดีวาจินแยกยื่นต่างหากจากโจทก์นั้น การออกหมายเรียกมาไต่สวนตามนัยมาตรา ๑๙ แห่งประมวลรัษฎากร เจ้าพนักงานได้ออกหมายเรียกไปยังนางสมบูรณ์สุข ดีวาจิน ผู้ยื่นรายการมาทำการไต่สวนไม่ใช่โจทก์การออกหมายเรียกของเจ้าพนักงานประเมินจึงเป็นการชอบและถูกต้องแล้ว เมื่อไต่สวนและทราบจำนวนเงินภาษีอันถูกต้องแล้ว เจ้าพนักงานประเมินก็มีอำนาจแบ่งภาษีดังกล่าวออกตามส่วนของเงินได้พึงประเมินที่โจทก์และนางสมบูรณ์ ดีวาจิน แต่ละฝ่ายได้รับโดยแจ้งให้โจทก์และนางสมบูรณ์ ดีวาจิน เสียเป็นคนละส่วนได้ แต่ถ้าภาษีส่วนของฝ่ายใดค้างชำระ อีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องรับผิดในการเสียภาษีที่ค้างชำระดังกล่าว ทั้งนี้ตามมาตรา ๕๗ ตรี วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร สำหรบกรณีโจทก์นี้เนื่องด้วยนางสมบูรณ์ ดีวาจีน ภรรยาโจทก์มีภาระต้องรับผิดชำระเงินภาษีเพิ่มเติมซึ่งโจทก์ต้องร่วมรับผิดด้วย เจ้าพนักงานประเมินจึงมีหนังสือแจ้งภาษีเงินได้ให้โจทก์ชำระโดยมิได้หมายเรียกโจทก์มาไต่สวน ย่อมเป็นการชอบแล้ว เพราะมิใช่การตรวจสอบภาษี จึงไม่ต้องหมายเรียกตัวโจทก์ตามประมวลรัษฎากร ฉะนั้นการที่เจ้าพนักงานประเมินมีหนังสือแจ้งภาษีเงินได้ให้โจทก์เสียภาษีสำหรับปี พ.ศ. ๒๕๐๖ และ ๒๕๐๗ ตามเอกสารหมายเลข ๒,๓ ท้ายฟ้อง และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงถูกต้องชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์เกี่ยวกับภาษีปี พ.ศ. ๒๕๐๖ และ ๒๕๐๗ มานั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share