แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยส่งสินค้าที่มีคุณภาพชำรุดบกพร่องถึงขนาดที่โจทก์ไม่อาจนำไปขายต่อให้เป็นการผิดสัญญา  จำเลยต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องดังกล่าว  โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและเรียกค่าเสียหายได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา 215, 287, 391  และ 472
ค่าขนส่งสินค้าจากกรุงเทพมหานครไปยังที่ทำการของโจทก์ในต่างประเทศ  ค่าประกันภัยสินค้า  ค่าภาษีขาเข้าและค่านำสินค้าดังกล่าวออกจากด่านศุลกากร  ล้วนเป็นค่าเสียหายพิเศษซึ่งจำเลยควรจะคาดคิดล่วงหน้าได้ว่าโจทก์จำเป็นต้องเสีย  จำเลยจึงต้องรับผิดในค่าเสียหายนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 222 วรรค 2  ส่วนค่าใช้จ่ายในการพิสูจน์สินค้าของกลางที่ชำรุดบกพร่อง  เมื่อปรากฏกรรมการซึ่งมีอำนาจลงชื่อแทนบริษัทจำเลยไม่ยอมรับรู้ข้อตกลงในเรื่องที่ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบสินค้าดังกล่าว  จึงเป็นเพียงค่าใช้จ่ายที่เป็นประโยชน์แก่โจทก์ฝ่ายเดียว  จำเลยไม่ต้องรับผิดชดใช้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า  โจทก์ตกลงซื้อผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ซึ่งทำด้วยไม้สักจากจำเลยเพื่อไปขายในประเทศสหรัฐอเมริกา  ตกลงให้ส่งมอบสินค้า ณ ที่ทำการของโจทก์ในรัฐนิวยอร์ค  ประเทศสหรัฐอเมริกา  จำเลยทำผิดสัญญาส่งสินค้าที่ชำรุดบกพร่องแตกหักเสียหายให้แก่โจทก์เป็นจำนวนมาก  ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบแล้วเห็นว่า การชำรุดบกพร่องเกิดจากการผลิตสินค้าที่ใช้กาวที่ไม่มีคุณภาพดีพอมาประกอบขึ้น  โจทก์จึงบอกเลิกสัญญากับจำเลย  ขอศาลบังคับให้จำเลยชดใช้ราคาสินค้า  ค่าขนส่ง  ค่าประกันภัยสินค้า  ค่าภาษีอากรขาเข้า  ค่านำสินค้าออกจากศุลกากร  และค่าใช้จ่ายในการที่ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบสินค้า  รวมค่าเสียหายและค่าสินค้าที่จำเลยจะต้องคืนเป็นเงิน ๖๕,๗๐๒.๙๑ บาท  ขอศาลบังคับให้จำเลยใช้เงิน ๖๕,๗๐๒.๙๑ บาท  พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นวินิจฉัย  โจทก์ตั้งรูปคดีฟ้องร้องเป็นเรื่องสิทธิเลิกสัญญาและเรียกค่าเสียหายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๙๑  ซึ่งไม่ตรงกับรูปเรื่องที่จำเลยจะต้องรับผิด  พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า  สิทธิเลิกสัญญานั้นจะมีได้โดยข้อสัญญาหรือโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๘๖  ในเรื่องนี้โจทก์จำเลยไม่มีข้อสัญญาที่จะก่อให้เกิดสิทธิเลิกสัญญาได้  ดังนั้น  การใช้สิทธิเลิกสัญญาของโจทก์จะมีได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา ๓๘๗  ถึง มาตรา ๓๙๑  แต่คดีนี้มีปัญหาเฉพาะมาตรา ๓๘๗  ซึ่งควรจะบอกเลิกสัญญาได้ตามมาตรานี้จะต้องเป็นกรณีที่ผู้ขายไม่ชำระหนี้หรือชำระผิดจากความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ในส่วนสาระสำคัญ  แต่โจทก์มิได้นำสืบให้ปรากฏชัดว่าส่วนที่ชำรุดบกพร่องนี้มีจำนวนมากถึงขนาดที่จะถือได้ว่า  จำเลยไม่ชำระหนี้  และเป็นมูลที่โจทก์จะบอกเลิกสัญญาได้ตามมาตรา ๓๘๗  โจทก์ยังไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา  พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า  ปรากฏว่า  โจทก์จำเลยเคยติดต่อซื้อขายสินค้าประเภทของใช้ในบ้านทำด้วยไม้สักหลายครั้ง  ทุกครั้งก็เรียบร้อยเว้นแต่ครั้งสุดท้ายที่พิพาทกันนี้  แสดงว่าโจทก์จำเลยรู้ความมุ่งหมายของกันและกันว่า  โจทก์ซื้อสินค้าเหล่านี้จากจำเลยก็เพื่อจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา  เมื่อสินค้าที่จำเลยส่งไปถึงโจทก์นั้นเกิดชำรุดบกพร่อง  กล่าวคือ  เขียงไม้สำหรับใช้หั่นเนยนั้น  ใช้ชิ้นไม้สักเล็ก ๆ ประกบติดกัน  แต่มีการแยกของชิ้นไม้สักเล็ก ๆ เหล่านั้นออกจากกัน  เนื่องจากการใช้กาวที่ไม่มีคุณภาพดีมาใช้ผลิต  ดังปรากฏข้อความละเอียดในการพิสูจน์ของผู้เชี่ยวชาญตามเอกสาร หมาย จ.๑๐  จากข้อความในเอกสาร จ.๙,  จ.๑๒  ซึ่งเป็นจดหมายติดต่อระหว่างโจทก์จำเลยเกี่ยวกับการเสียหายของสินค้ารายนี้  ศาลฎีกาเห็นว่า  จำเลยก็ทราบในเรื่องที่โจทก์ให้ผู้เชี่ยวชาญพิสูจน์สินค้าของจำเลย  แต่จำเลยไม่ประสงค์ให้พิสูจน์สินค้าเหล่านั้นอีก  สินค้าเหล่านี้จากรายงานการตรวจของผู้ตรวจสอบสินค้าทางทะเลตามเอกสารหมาย จ.๔  แสดงว่าสินค้าที่ชำรุดบกพร่องมีมาก  เป็นเหตุให้เสื่อมราคา  หรือขายไม่ได้ในสหรัฐอเมริกา  อันเป็นความมุ่งหมายของโจทก์ในการซื้อสินค้าเหล่านั้น  ซึ่งจำเลยก็ทราบ  เห็นว่าจำเลยจะต้องรับผิดในการชำรุดบกพร่องในสินค้าเหล่านั้น  และโจทก์มีอำนาจบอกเลิกสัญญาและเรียกค่าเสียหายได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๑๕, ๒๘๗, ๓๙๑, ๔๗๒
สำหรับความเสียหาย  ปรากฏว่าโจทก์ฟ้องขอให้เลิกสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๙๑  และเรียกร้องให้จำเลยคืนเงินราคาสินค้าที่โจทก์ชำระไปแล้ว  แต่โจทก์ก็จำต้องคืนสินค้าที่ชำรุดบกพร่องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๗๒ นั้น  แก่จำเลย  แต่ตามข้อความในเอกสารหมาย จ.๙  และ จ.๑๒  ซึ่งเป็นจดหมายของโจทก์จำเลย  แสดงว่าโจทก์ได้เสนอขอคืนสินค้าแล้วซึ่งจำเลยก็ได้ตอบไป  และเสนอเงื่อนไขใหม่  แต่โจทก์มิได้สนองรับกลับบอกเลิกสัญญาตามเอกสารหมาย จ.๕  เมื่อคดีฟังได้ดังกล่าว  ศาลฎีกาเห็นสมควรให้จำเลยคืนเงินราคาสินค้าที่จำเลยรับไปจากโจทก์  ส่วนค่าเสียหายอย่างอื่นนั้น  โจทก์ได้ชำระค่าขนส่งสินค้าดังกล่าวจากกรุงเทพฯ  มาถึงที่ทำการของโจทก์รัฐนิวยอร์ค  ประเทศสหรัฐอเมริกา  ค่าประกันภัยสินค้า  ค่าภาษีขาเข้า  ค่านำสินค้าออกจากด่านศุลกากร  รวมเป็นจำนวนเงิน ๑๙,๐๒๖.๑๓ บาท  นับเป็นค่าเสียหายพิเศษ  ซึ่งจำเลยควรจะได้คาดคิดล่วงหน้าได้ว่า  โจทก์จำเป็นต้องเสีย  เพื่อจะได้นำสินค้าที่ซื้อจากจำเลยไปยังที่ทำการของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๒ วรรค ๒  ส่วนค่าใช้จ่ายในการพิสูจน์สินค้าของกลางที่ชำรุดบกพร่อง  จากข้อความในเอกสารหมาย จ.๙่,  จ.๑๒  แสดงว่านางบุญญะวันต์กรรมการซึ่งมีอำนาจลงชื่อแทนบริษัทจำเลยไม่ยอมรับรู้ข้อตกลงในเรื่องผู้เชี่ยวชาญตรวตจสอบสินค้าเหล่านี้  ฉะนั้น  ค่าเสียหายดังกล่าวจึงเป็นค่าใช้จ่ายที่เป็นประโยชน์แก่โจทก์ฝ่ายเดียว  จะเรียกร้องให้จำเลยชดใช้หาได้ไม่  เมื่อรวมเงินค่าสินค้าซึ่งจำเลยจะต้องคืนและค่าเสียหายที่จำเลยจะต้องชดใช้ดังศาลฎีกาได้วินิจฉัยมา  เห็นว่าโจทก์ได้รับความเสียหายจริง  แต่มีบางรายการไม่สมควรให้จำเลยชดใช้แทน  ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษากลับ  ให้จำเลยชดใช้ราคาสินค้าและค่าเสียหายเป็นเงิน ๖๓,๖๗๖.๓๓ บาท  พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์

