แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ จำเลยที่ 2 และ ส.ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และได้ครอบครองร่วมกันตลอดมาจนกระทั่ง ส.ถึงแก่ความตาย ดังนี้ แม้ทายาทของ ส.ยังเป็นผู้เยาว์อยู่ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของรวมคนหนึ่งก็มีสิทธิฟ้องผู้จัดการมรดกของ ส.และจำเลยที่ 2 ให้แบ่งที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวได้ มิใช่เป็นการเรียกให้แบ่งทรัพย์สินในเวลาที่ไม่เป็นโอกาสอันควรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1363 วรรค 3
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ จำเลยที่ ๒ และนายสุทธิพงศ์ ศรีวิกรม์ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดิน ๑๒ แปลงและสิ่งปลูกสร้าง นายสุทธิพงศ์ถึงแก่กรรมไปแล้ว ซึ่งศาลแต่งตั้งให้นางสุรภีร์ โรจนวงศ์ คุณหญิงสมศรี เจริญรัชต์ภาคย์ และนายอุดมศักดิ์ ภาสะวณิช เป็นผู้จัดการมรดก โจทก์ได้ขอให้จำเลยที่ ๒ และผู้จัดการมรดกของนายสุทธิพงศ์แบ่งที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวให้โจทก์ หรือขายแล้วเอาเงินมาแบ่งกัน แต่ตกลงกันไม่ได้ จึงขอให้ศาลพิพากษาให้ประมูลราคาที่ดินตามฟ้องรวม ๑๒ โฉนดพร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างในระหว่างเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม หากตกลงกันไม่ได้ ให้เอาที่ดินพร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวขายทอดตลาดแล้วเอาเงินสุทธิแบ่งให้โจทก์ ๑ ใน ๓ ส่วน
นางสุรภีร์ โรจนวงศ์ ให้การว่า นายสุทธิพงศ์มีทายาทซึ่งเป็นบุตรผู้เยาว์ของนางสุรภีร์อยู่ ๔ คน ทายาทดังกล่าวไม่อาจทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ และไม่อาจทำความตกลงในลักษณะประนีประนอมเพื่อระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์รวมได้ ผู้จัดการมรดกของนายสุทธิพงศ์ซึ่งเป็นตัวแทนจัดการทรัพย์สินของทายาทผู้เยาว์จึงไม่อาจทำความตกลงดังกล่าวเช่นกัน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องผู้จัดการมรดก ทรัพย์มรดกตามฟ้องเป็นมรดกตกทอดมาจากพระยาศรีวิกรมาฑิตย์ ซึ่งโจทก์ จำเลยที่ ๒ และนายสุทธิพงศ์ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันตลอดมาจนกระทั่งนายสุทธิพงศ์ถึงแก่กรรมไปแล้วกว่า ๕ ปี ไม่เคยมีข้อโต้แย้งกัน โจทก์น่าจะรอจนกว่าทายาทส่วนมากของนายสุทธิพงศ์บรรลุนิติภาวะซึ่งจะเสียเวลาอีกไม่เกิน ๘ ปี การที่โจทก์ฟ้องขอให้แบ่งทรัพย์สินในขณะนี้เป็นการเรียกให้แบ่งทรัพย์สินในเวลาที่ไม่เป็นโอกาสอันควร และที่ดินโฉนดที่ ๓๑๖๑ ซึ่งมีอาคารโรงแรมเพรสิเด้นส์มีราคากว่า ๒๐๐ ล้านบาท ย่อมหาผู้เข้าสู้ราคาในการขายทอดตลาดได้ยาก การขอให้ประมูลราคากันในระหว่างเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมทำให้ทายาทผู้เยาว์ของนายสุทธิพงศ์เสียเปรียบ เพราะไม่มีเงินและไม่อาจหาเงินมาประมูลได้ หากศาลเห็นควรให้แบ่งทรัพย์สินกันตามฟ้องก็ขอให้สั่งขายทอดตลาดแทนการประมูลราคากันในระหว่างเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วม ขอให้พิพากษายกฟ้องโจทก์
นายอุดมศักดิ์ ภาสะวณิชให้การว่า จำเลยที่ ๒ นายสุทธิพงศ์และโจทก์ทำสัญญาแบ่งสิทธิครอบครองที่ดินโฉนดที่ ๓๑๖๑ พร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างเพื่อหาผลประโยชน์กันเป็นเวลา ๓๐ ปี อันเป็นสัญญาต่างตอบแทน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอแบ่งที่ดินโฉนดดังกล่าวพร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้าง ส่วนที่ดินตามฟ้องอีก ๑๑ แปลงนั้น ผู้จัดการมรดกของนายสุทธิพงศ์ไม่อาจประมูลราคาได้เพราะไม่มีเงิน ควรให้ขายทอดตลาดไป
คุณหญิงสมศรี เจริญรัชต์ภาคย์ ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสุทธิพงศ์และในฐานะจำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยเห็นพ้องด้วยกับโจทก์ที่ขอแบ่งที่ดินอันเป็นกรรมสิทธิ์รวมเว้นแต่ที่ดินโฉนดที่ ๓๑๖๑ ที่โจทก์และจำเลยที่ ๒ ได้ปลูกสร้างโรงแรมลงในที่ดินดังกล่าว ซึ่งสิ่งปลูกสร้างนี้จะตกเป็นของเจ้าของที่ดินในปี พ.ศ. ๒๕๓๗ หากมีการประมูลหรือขายทอดตลาดที่ดินแปลงนี้ ก็ต้องยกเว้นสิ่งก่อสร้างของจำเลยที่ ๒ ดังกล่าว
ในวันนัดพร้อม โจทก์ขอถอนฟ้องเฉพาะที่ดินโฉนดที่ ๓๑๖๑ และสิ่งปลูกสร้าง ผู้จัดการมรดกของนายสุทธิพงศ์ จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ไม่ค้าน ศาลชั้นต้นอนุญาตและศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้วจึงสั่งงดสืบพยาน
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง และถือไม่ได้ว่าเป็นการเรียกร้องขอแบ่งทรัพย์สินในเวลาที่ไม่เป็นโอกาสอันควรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๖๓ วรรคท้าย พิพากษาให้แบ่งที่ดินพร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างที่โจทก์ฟ้อง ถ้าแบ่งไม่ได้ให้ประมูลราคาในระหว่างเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือขายทอดตลาดแล้วเอาเงินสุทธิแบ่งให้โจทก์ ๑ ใน ๓ ส่วน
นางสุรภีร์ โรจนวงศ์ ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสุทธิพงศ์ จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ควรรอการแบ่งกรรมสิทธิ์รวมไว้จนกว่าทายาทส่วนมากของนายสุทธิพงศ์บรรลุนิติภาวะเสียก่อน ที่โจทก์ฟ้องขอแบ่งในขณะนี้ถือได้ว่าเป็นการเรียกร้องให้แบ่งทรัพย์สินในเวลาที่ไม่เป็นโอกาสอันควร พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ จำเลยที่ ๒ และนายสุทธิพงศ์ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามฟ้อง เมื่อนายสุทธิพงศ์ถึงแก่ความตายและศาลมีคำสั่งแต่งตั้งผู้จัดการมรดกของนายสุทธิพงศ์ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมคนหนึ่งมีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ ๒ และผู้จัดการมรดกของนายสุทธิพงศ์แบ่งที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามฟ้องได้ การที่โจทก์ครอบครองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวร่วมกับจำเลยที่ ๒ และนายสุทธิพงศ์ตลอดมาจนกระทั่งนายสุทธิพงศ์ถึงแก่ความตาย และโจทก์ฟ้องขอแบ่งที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวในขณะที่ทายาทของนายสุทธิพงศ์ยังเป็นผู้เยาว์อยู่ ไม่ใช่เป็นการเรียกให้แบ่งทรัพย์สินในเวลาที่ไม่เป็นโอกาสอันควรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๖๓ วรรคสาม
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.