คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2460/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทำเครื่องเฟอร์นิเจอร์ส่งให้จำเลยโดยจำเลยจัดอุปกรณ์หรือมอบเงินให้โจทก์จัดซื้อ และปรากฏว่ามีหนี้สินเกี่ยวค้างกันอยู่แล้วได้ไปคิดบัญชีกันที่สถานีตำรวจปรากฏว่าโจทก์เป็นหนี้จำเลย11,626 บาท และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้บันทึกรายงานเบ็ดเสร็จประจำวันไว้มีใจความว่า ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงระงับข้อพิพาทเรื่องเกี่ยวกับการส่งตู้เฟอร์นิเจอร์โดยจำเลยได้ออกทุนค่าส่งวัตถุไปก่อนเพื่อให้โจทก์เป็นผู้ทำเครื่องเฟอร์นิเจอร์ส่งให้จำเลยได้ดำเนินกิจการมา 1 ปีเศษทั้งสองฝ่ายได้คิดบัญชีกันแล้ว แต่ปรากฏว่าโจทก์ยังคงค้างเงินอยู่ อีก 11,600 บาท และโจทก์ยอมรับว่าเป็นหนี้อยู่จริงทั้งสองฝ่ายจึงมาแจ้งไว้เป็นหลักฐานและลงชื่อทั้งสองฝ่ายไว้ถือว่าเป็นสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยด้วยใจสมัครมุ่งประสงค์จะระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับหนี้สินที่เกิดขึ้นในการค้าระหว่างโจทก์จำเลย และยังตกลงกันไม่ได้ให้เป็นการเสร็จไป โดยโจทก์ยอมรับว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าหนี้จำเลยดังที่กล่าวอ้างไว้ก่อนตกลงทำสัญญากับจำเลย และจำเลยยอมให้เป็นไปตามบัญชีบันทึกไว้กับยอมตัดเศษเงินที่โจทก์เป็นหนี้ออก อันเป็นการยอมผ่อนผันให้แก่กันจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 850 มีผลทำให้ข้อเรียกร้องของแต่ละฝ่ายที่มีอยู่ก่อนทำสัญญานั้นระงับสิ้นไป และจำเลยได้สิทธิขึ้นใหม่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 852 (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 9/2517)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้สั่งให้โจทก์จัดทำและส่งเครื่องเฟอร์นิเจอร์ชนิดต่าง ๆ ให้แก่จำเลย เมื่อโจทก์ส่งสินค้ารายใดให้แก่จำเลย จำเลยจะเขียนหลักฐานการรับสินค้าให้โจทก์ไว้ เพื่อที่โจทก์จะได้เรียกเก็บเงินค่าสินค้าของโจทก์จากจำเลย เมื่อสิ้นปี โจทก์และจำเลยมีข้อตกลงกันว่า สินค้ารายใดที่จำเลยส่งให้โจทก์จัดทำส่งนั้น เมื่อโจทก์ไม่มีวัสดุ จำเลยจะเป็นผู้จัดหาให้แล้วคิดหักบัญชีกันเมื่อโจทก์ขอเบิกเงินค่าสินค้าจากจำเลย โจทก์ได้จัดทำและส่งสินค้าให้จำเลยตามที่จำเลยสั่ง และจำเลยได้รับสินค้าเหล่านั้นจากโจทก์ไว้เป็นการถูกต้องเรียบร้อยแล้ว แต่จำเลยยังมิได้ชำระราคาสินค้าให้แก่โจทก์ โจทก์ทวงถามจำเลยก็ผัดผ่อน อ้างว่าต้องคิดบัญชีค่าวัสดุที่จำเลยได้ออกไปให้โจทก์เสียก่อนแล้วจึงหักกลบลบบัญชีกัน ต่อมาโจทก์และจำเลยได้ไปยังสถานีตำรวจเพื่อขอให้พนักงานสอบสวนทำการไกล่เกลี่ยเรื่องโจทก์รับวัสดุจากจำเลยว่าเป็นเงินจำนวนเท่าใด พนักงานสอบสวนได้ลงรายงานเบ็ดเสร็จไว้เป็นหลักฐาน เมื่อหักหนี้ที่โจทก์จะต้องชำระให้แก่จำเลยแล้ว จำเลยจะต้องชำระหนี้ค่าสินค้าที่โจทก์ส่งให้จำเลยเป็นเงิน๓๐,๗๒๐ บาท โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระ จำเลยก็เพิกเฉย จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยชำระพร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ตกลงให้จำเลยเป็นนายทุนออกเงินให้โจทก์ทำเครื่องเฟอร์นิเจอร์ส่งให้ร้านจำเลย โดยจำเลยเป็นผู้ออกเงินซื้อเครื่องวัสดุในการทำเฟอร์นิเจอร์ และออกเงินค่าแรงให้โจทก์เป็นผู้รับไปทำตามคำสั่งของจำเลย การทำเฟอร์นิเจอร์ดังกล่าว โจทก์ได้เบิกเงินล่วงหน้าจากจำเลยก่อนทุกครั้ง แล้วส่งสินค้าให้จำเลยภายหลัง โจทก์เป็นผู้ตีราคาเครื่องเฟอร์นิเจอร์แล้วให้จำเลยจดลงไว้ในสมุด โดยจดทั้งราคาวัสดุและค่าแรงที่โจทก์เบิกล่วงหน้า แล้วโจทก์เป็นผู้ยึดถือสมุดเล่มนี้ไว้ หลังจากตกลงกันแล้วโจทก์จำเลยได้คิดบัญชีกันหลายครั้ง รายการสินค้าตามฟ้องโจทก์ได้เบิกเงินล่วงหน้าจากจำเลยไปหมดสิ้นแล้ว เมื่อคิดบัญชีหักกลบลบหนี้กัน ปรากฏว่า โจทก์ได้ติดค้างเงินจำเลยอยู่เป็นเงิน ๖,๖๐๐บาท หลังจากนั้นโจทก์ได้เบิกเงินไปจากจำเลยอีก ๕,๐๒๖ บาท รวมเป็นเงินที่โจทก์ติดค้างทั้งสิ้น ๑๑,๖๒๖ บาท ต่อมาจำเลยทวงให้โจทก์ส่งสินค้าเฟอร์นิเจอร์แก่จำเลย โจทก์ว่ายังทำไม่เสร็จ จำเลยทวงถามเงินจำนวน๑๑,๖๒๖ บาทคืน โจทก์กลับขู่เข็ญมิให้จำเลยทวงถาม จำเลยได้ไปร้องเรียนต่อพนักงานสอบสวนให้เรียกโจทก์มาตกลงกับจำเลย โจทก์และจำเลยได้คิดบัญชีกันต่อหน้าพนักงานสอบสวน ปรากฏว่าโจทก์ได้ติดค้างเงินจำเลยอยู่ ๑๑,๖๐๐ บาท จำเลยมิได้มีหนี้สินติดค้างดังโจทก์ฟ้อง ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์และบังคับให้โจทก์ชำระเงิน ๑๑,๖๐๐ บาท แก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยมิได้เป็นนายทุนออกเงินให้โจทก์ข้อตกลงระหว่างโจทก์และจำเลยมีเพียงว่า สินค้าที่จำเลยสั่งรายใด ถ้าโจทก์ไม่มีวัสดุอยู่ในร้านแล้ว จำเลยจะต้องเป็นผู้จัดหาให้ ซึ่งในการนี้บางครั้งจำเลยก็จ่ายเงินสด บางครั้งก็จ่ายเป็นเช็คให้โจทก์เพื่อไปจัดซื้อมาทำส่งให้จำเลย รายการที่จำเลยให้โจทก์รับของและเงินไปแต่ละครั้งจำเลยได้เขียนให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นหลักฐานเพื่อหักกลบลบบัญชีในเมื่อโจทก์เบิกเงินค่าสินค้าที่โจทก์ทำส่งจำเลยเมื่อถึงสิ้นปี โจทก์ไม่ได้เบิกเงินล่วงหน้าก่อนราคาสินค้าตามฟ้องจำเลยยังมิได้ชำระเงินให้แก่โจทก์ หลังจากส่งสินค้าให้จำเลยครั้งสุดท้ายแล้ว โจทก์ไม่เคยเบิกเงินจากจำเลยอีก ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า หนี้สินระหว่างโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันตามเอกสารหมาย ล.๓ โจทก์จึงผูกพันที่จะต้องชำระเงินจำนวน ๑๑,๖๐๐ บาท แก่จำเลยตามสัญญา โจทก์จะนำหลักฐานอื่นหรือหลักฐานเดิมซึ่งเกี่ยวกับหนี้สินในการสั่งทำเฟอร์นิเจอร์มารื้อฟื้นฟ้องร้องเป็นคดีอีกหาได้ไม่ เพราะได้ระงับสิ้นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ชำระเงินตามฟ้องแย้ง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์มีอาชีพทำเฟอร์นิเจอร์ส่งขายและได้ทำส่งขายให้แก่ร้านจำเลยด้วย เมื่อจำเลยต้องการเครื่องเฟอร์นิเจอร์ก็สั่งให้โจทก์ทำ หากอุปกรณ์ในการทำไม่มีจำเลยก็จัดอุปกรณ์หรือมอบเงินให้โจทก์จัดซื้อ โจทก์จำเลยมีหนี้สินเกี่ยวค้างกันอยู่ในที่สุดได้ไปพบกันที่สถานีตำรวจแล้วต่างเถียงกันว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นหนี้ ผลที่สุดได้มีการคิดบัญชีกันจากสมุดที่จำเลยจดแล้วให้โจทก์ยึดถือไว้ ปรากฏว่าโจทก์เป็นหนี้จำเลยอยู่ ๑๑,๖๒๖ บาท จึงได้ไปสาบานตัวต่อศาลเจ้าพ่อหลักเมืองแล้วให้เจ้าหน้าที่บันทึกไว้ในรายงานเบ็ดเสร็จประจำวันแต่บันทึกว่าโจทก์ค้างชำระหนี้จำเลย ๑๑,๖๐๐ บาท เพราะเจ้าหนี้ที่ให้จำเลยตัดเศษทิ้ง รายงานเบ็ดเสร็จประจำวันตามเอกสารหมาย ล.๓ ว่า “นายเคียงฮุ้ง แซ่เตีย ฯลฯมา ส.ภ.นี้พร้อมกับนายจุงเฮี้ยง แซ่อึ้ง ฯลฯ แจ้งว่าทั้งสองฝ่ายได้ตกลงระงับข้อพิพาทเรื่องเกี่ยวกับการส่งตู้เฟอร์นิเจอร์โดยนายเคียงฮุ้งได้ออกทุนค่าส่งวัตถุไปก่อน เพื่อให้นายจุงเฮี้ยงเป็นผู้ทำเครื่องเฟอร์นิเจอร์ส่งให้นายเคียงฮุ้ง ได้ดำเนินการมา ๑ ปีเศษ ทั้งสองฝ่ายได้คิดบัญชีกันแล้วแต่ปรากฏว่านายจุงเฮี้ยงยังคงค้างเงินอยู่อีก ๑๑,๖๐๐ บาท (หนึ่งหมื่นหนึ่งพันหกร้อยบาท) และนายจุงเฮี้ยงยอมรับว่าเป็นหนี้อยู่จริง ทั้งสองฝ่ายจึงมาแจ้งไว้เป็นหลักฐาน ฯลฯ” และทั้งสองฝ่ายได้ลงชื่อไว้ในบันทึกนั้นด้วยศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า ตามข้อความในเอกสารหมาย ล.๓ประกอบกับข้อเท็จจริงที่ได้ความดังกล่าวเป็นสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยด้วยใจสมัครมุ่งประสงค์จะระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับหนี้สินที่เกิดขึ้นในการค้าระหว่างโจทก์จำเลย และยังตกลงกันไม่ได้ให้เป็นการเสร็จไป โดยโจทก์ยอมรับว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าหนี้จำเลยดังที่กล่าวอ้างไว้ก่อนตกลงทำสัญญากับจำเลย และจำเลยยอมให้เป็นไปตามบัญชีที่บันทึกไว้ และนำมาคิดจำนวนเงินที่ติดค้างให้เป็นการแน่นอน กับยอมตัดเศษเงินที่โจทก์เป็นหนี้ออก อันเป็นการยอมผ่อนผันให้แก่กันจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๕๐ มีผลทำให้ข้อเรียกร้องของแต่ละฝ่ายที่มีอยู่ก่อนทำสัญญานั้นระงับสิ้นไป และจำเลยได้สิทธิ์ขึ้นใหม่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นเจ้าหนี้โจทก์๑๑,๖๐๐ บาท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๕๒
พิพากษายืน

Share