แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสี่เป็นบุตรที่ ค.บิดารับรองแล้วโดย ค. ให้ใช้นามสกุล ให้ที่พักอาศัยและอยู่ร่วมเรือนเดียวกันให้อุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษา ค.ถึงแก่กรรม นาพิพาทจึงตกทอดเป็นของโจทก์ในฐานะเป็นทายาทจำเลยให้การว่านาเป็นของจำเลย โจทก์ทั้งสี่ไม่เป็นทายาทอันชอบด้วยกฎหมายของ ค. ในวันชี้สองสถาน คู่ความตกลงท้ากันในประเด็นข้อเดียวว่าถ้าหากศาลวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของ ค. โจทก์ยอมแพ้คดี ดังนี้ เมื่อโจทก์นำสืบได้ความแต่เพียงว่าโจทก์ทั้งสี่เป็นบุตรนอกกฎหมายที่ ค. บิดาได้รับรองแล้วเท่านั้น โจทก์ทั้งสี่ก็ย่อมมิใช่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของ ค. โจทก์จึงต้องแพ้คดีตามคำท้า เพราะกรณีของโจทก์ หากจะให้เกิดผลให้โจทก์ทั้งสี่เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของ ค. จะต้องฟ้องคดีให้รับโจทก์ทั้งสี่เป็นบุตรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1529 และจะต้องมีคำพิพากษาว่าโจทก์ทั้งสี่เป็นบุตรของ ค. ตามมาตรา 1530(3) เสียก่อน ส่วนบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1524 นั้น เป็นเรื่องราววิธีพิสูจน์การเป็นบุตรที่เกิดในระหว่างที่มีการสมรสที่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1627 ที่บัญญัติว่าบุตรนอกกฎหมายที่บิดาได้รับรองแล้ว ให้ถือว่าเป็นผู้สืบสันดานเหมือนกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ยังไม่ถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย หากแต่ให้มีสิทธิเกี่ยวกับมรดกของชายผู้ให้กำเนิดเท่านั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณ ๒๐ ปีมานี้ นายคำ จวงสังข์ ได้นางปอนจวงสังข์ มารดาโจทก์เป็นภรรยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรสกัน มีบุตรด้วยกันคือโจทก์ผู้เยาว์ทั้งสี่ นายคำ จวงสังข์ ได้รับรองโจทก์ทั้งสี่เป็นบุตรโดยให้ใช้นามสกุลของนายคำผู้เป็นบิดา ให้ที่พักอาศัยและอยู่ร่วมเรือนเดียวกันให้อุปการะเลี้ยงดู ให้การศึกษาโจทก์ทั้งสี่จึงเป็นบุตรของนายคำ จวงสังข์ตามกฎหมาย นายคำ จวงสังข์ กับมารดาโจทก์มีสิทธิครอบครองที่นาร่วมกัน ๑ แปลง เมื่อนายคำ จวงสังข์ ถึงแก่กรรม ที่นาดังกล่าวตกทอดมาเป็นของโจทก์ในฐานะเป็นทายาท และมารดาโจทก์เป็นเจ้าของนาพิพาทร่วมกับผู้ตายโจทก์และมารดาโจทก์ได้ครอบครองทำนาพิพาทติดต่อกันมาทุกปี เมื่อเดือน ๗ ปีนี้จำเลยทั้งสองได้เข้าไปทำนาพิพาทของโจทก์ทั้งแปลงขอให้ศาลพิพากษาว่านาพิพาทเป็นของโจทก์ ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากนาพิพาท และให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า นาพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่นานายเจียงบิดาจำเลย เมื่อบิดาจำเลยถึงแก่กรรม จำเลยได้เข้าครอบครองทำนาพิพาทและที่นาที่ไม่พิพาทตลอดมานายคำสามีโจทก์เป็นพี่ชายจำเลยที่ ๒ เป็นสามีโจทก์ไม่ได้จดทะเบียนสมรส บุตรโจทก์ไม่เป็นทายาทอันชอบด้วยกฎหมายนายคำสามีโจทก์ไม่เคยเข้าทำนาพิพาทหากศาลฟังว่าโจทก์และบุตรโจทก์เป็นทายาทของนายคำจริงโจทก์และบุตรไม่เคยเข้าครอบครองนาพิพาทในฐานะเจ้าของ และตัดฟ้องว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความมรดกของนายเจียงในส่วนของนายคำตกมายังจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นทายาทของนายคำ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
วันชี้สองสถาน คู่ความตกลงท้ากันให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นข้อเดียวว่า โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๔ เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายคำจวงสังข์ หรือไม่ ถ้าศาลวินิจฉัยว่าเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยยอมแพ้คดีถ้าศาลวินิจฉัยว่าโจทก์มิใช่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายคำจวงสังข์โจทก์ยอมแพ้คดีโดยทั้งสองฝ่ายขอสละข้ออ้างและข้อต่อสู้ตามประเด็นอื่นเสียทั้งสิ้น
ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสี่ไม่เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายคำ จวงสังข์ โจทก์ต้องแพ้คดีตามคำท้า พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์ทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสี่เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายคำ จวงสังข์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๒๔ จำเลยต้องแพ้คดีตามคำท้า พิพากษากลับเป็นว่านาพิพาทเป็นของโจทก์ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากนาพิพาทของโจทก์กับให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองฎีกา
ข้อเท็จจริงได้ความตามที่โจทก์นำสืบว่าโจทก์ทั้งสี่เป็นบุตรที่เกิดจากนายคำและนางปอนมิได้จดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมายนายคำได้รับรองโจทก์ทั้งสี่เป็นบุตรโดยเป็นคนแจ้งการเกิดของโจทก์ทั้งสี่ให้ใช้นามสกุลของนายคำและอยู่ร่วมเรือนเดียวกันนายคำเป็นคนนำโจทก์ที่ ๑ และที่ ๒ ฝากเข้าโรงเรียนทางโรงเรียนออกใบสุทธิให้โจทก์ที่ ๑ เมื่อเรียนจบชั้นประถมปีที่ ๔ เป็นหลักฐานว่าโจทก์ที่ ๑ เป็นบุตรของนายคำ และเป็นที่ทราบทั่วไปในหมู่บ้านว่าโจทก์ทั้งสี่เป็นบุตรของนายคำนางปอน
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ทั้งสี่เป็นบุตรนอกกฎหมายที่นายคำ จวงสังข์บิดาได้รับรองว่าเป็นบุตรแล้ว เท่านั้น หากจะให้เกิดผลให้โจทก์ทั้งสี่เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายคำ จวงสังข์จะต้องฟ้องคดีให้รับโจทก์ทั้งสี่เป็นบุตรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๕๒๙ และจะต้องมีคำพิพากษาว่าโจทก์ทั้งสี่เป็นบุตรของนายคำจวงสังข์ ตามมาตรา ๑๕๓๐ (๓) เสียก่อน ส่วนบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๒๔ นั้น เป็นเรื่องราววิธีพิสูจน์การเป็นบุตรที่เกิดในระหว่างที่มีการสมรสที่ชอบด้วยกฎหมาย กรณีของโจทก์ทั้งสี่จึงมิใช่บุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของนายคำ จวงสังข์ ที่โจทก์ทั้งสี่แก้ฎีกาว่ากรณีของโจทก์ทั้งสี่ต้องด้วยมาตรา ๑๖๒๗ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าบทบัญญัติมาตรา ๑๖๒๗ ที่บัญญัติให้บุตรนอกกฎหมายที่บิดาได้รับรองแล้ว ให้ถือว่าเป็นสืบสันดานเหมือนกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายนี้นั้นยังไม่ถือว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายหากแต่ให้มีสิทธิเกี่ยวกับมรดกของชายผู้ให้กำเนิดได้เท่านั้นเช่นเดียวกับกรณีของโจทก์ทั้งสี่ แต่โจทก์ทั้งสี่ไม่ได้เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของนายคำ จวงสังข์ โจทก์จึงต้องแพ้คดีตามคำท้า
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์