คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1479/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องโจทก์ได้ความแต่เพียงว่า เขตที่ดินตามโฉนดที่1498ของจำเลยไม่ถึงหลักเขตที่ปรากฏอยู่ และไม่ถึงเขตสุขาภิบาลใช้เป็นจุดวัดทางสาธารณะ การใช้จุดวัดดังกล่าวนี้ไม่ถูกต้องเป็นเหตุให้การรังวัดจากหลักเขตดังกล่าวรุกล้ำเข้าไปในทางสาธารณะ ทำให้ทางสาธารณะที่คั่นอยู่ระหว่างที่ดินโจทก์จำเลยร่นเข้าไปอยู่ในที่ดินของโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวเป็นการบรรยายถึงการกระทำของบุคคลอื่นอันมีผลให้กระทบกระเทือนถึงที่ดินของโจทก์ หาได้มีข้อความที่เกี่ยวกับจำเลยว่าได้กระทำการอันใดที่ทำให้ทางสาธารณะเข้าไปอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์ หรือทำให้โจทก์เสียหายไม่ต้องถือว่ายังไม่มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นระหว่างโจทก์จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน ๑ แปลง อยู่ทางตะวันออกของที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๔๙๘ ซึ่งจำเลยมีชื่อเป็นผู้รับโอนจากนางหอม ไม่มีทางสาธารณะคั่นอยู่ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๔ สุขาภิบาลดอนขมิ้นเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้ หาว่าโจทก์บุกรุกที่สาธารณะบางส่วน ศาลฎีกาพิพากษาว่ามีทางสาธารณะ ให้โจทก์รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออก โดยวัดจากหลักเขตโฉนดของนางหอมออกมา ๒.๕๐ เมตร และ ๗.๗๐ เมตร ยาวตลอดเนื้อที่ โจทก์ตรวจสอบแล้วปรากฏว่าเขตโฉนดที่ดินของจำเลยตามโฉนดที่ ๑๔๙๘ นั้น ทางด้านตะวันออกไม่ถึงจุดหลักเขตตามที่ปรากฏอยู่ และตามที่สุขาภิบาลดอนขมิ้นใช้เป็นจุดไว้เพื่อให้เป็นทางสาธารณะตามคำบังคับของศาลแต่เป็นการรุกล้ำเข้ามาในเขตทางสาธารณะยาวตลอดเนื้อที่เป็นเหตุให้ทางสาธารณะนั้นรุกล้ำเข้ามาในเขตที่ดินของโจทก์กว้างยาวดังกล่าวเช่นเดียวกันทำให้โจทก์เสียหาย คิดเป็นเนื้อที่ ๕๐ ตารางเมตร ขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๔๙๘ ซึ่งแยกมาจากโฉนดเลขที่ ๑๒๖ ตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง ยาวตลอดเนื้อที่ทั้งสองด้าน โดยถือว่าที่ดินในเขตที่เพิกถอนเป็นทางสาธารณะ
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินที่ฟ้อง จำเลยได้รับโอนที่ดินโฉนดที่ ๑๒๖ จากนางหอมโดยสุจริต แยกมาเป็นโฉนดที่ ๑๔๙๘ มีเนื้อที่ ๑ ไร่ ๒ งาน ๔๘.๓ ตารางวา ซึ่งเดิมได้แบ่งแยกในนามเดิมของนางหอม มาเป็นโฉนดที่ ๑๔๙๘ ก่อนแล้ว จึงโอนให้แก่จำเลยเดิมโจทก์ถูกฟ้องหาว่าบุกรุกที่สาธารณะจนศาลพิพากษาถึงที่สุดให้โจทก์รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง โดยกำหนดวัดจากหลักเขตโฉนดของนางหอมการแบ่งแยกโฉนดเดิมเลขที่ ๑๒๖ มาเป็นโฉนดที่ ๑๔๙๘ เป็นการแบ่งแยกโฉนดภายในเขตโฉนดเดิม ไม่ได้คลาดเคลื่อนแนวเขตที่ดิน
ในวันชี้สองสถาน คู่ความรับกันว่าที่ดินภายในเส้นสีเขียวท้ายฟ้องในเส้นประสีน้ำเงิน คือที่ดินที่พิพาทกันในคดีแพ่งแดงที่ ๔๔/๒๕๐๖ ระหว่างสุขาภิบาลดอนขมิ้น โจทก์ นางสาวเป้า นิลยะนารถ จำเลย ซึ่งศาลฎีกาพิพากษาว่าเป็นทางสาธารณะ ให้จำเลย (โจทก์ในคดีนี้) และบริวารออกจากทางสาธารณะ โดยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างไปส่วนที่ดินที่พิพาทในคดีนี้คือที่ดินภายในเส้นสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง คู่ความรับกันว่าอยู่ในเขตโฉนดที่ ๑๔๙๘ ของจำเลย มิได้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินที่อ้างว่าเป็นของโจทก์อย่างไร ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยาน และเห็นว่าแม้โจทก์จะอ้างว่าที่ดินภายในเส้นสีแดงเป็นทางสาธารณะก็ตามแต่ก็อยู่ในโฉนดที่ ๑๔๙๘ ของจำเลย มิได้รุกล้ำที่ดินของโจทก์ จึงไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานของคู่ความ แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์คงได้ความแต่เพียงว่าเขตที่ดินตามโฉนดที่ ๑๔๙๘ ของจำเลยนั้น ไม่ถึงหลักเขตที่ปรากฏอยู่และไม่ถึงเขตที่สุขาภิบาลดอนขมิ้นใช้เป็นจุดวัดทางสาธารณะตามคำบังคับของศาล การใช้จุดวัดดังกล่าวนี้ไม่ถูกต้อง เป็นเหตุให้การรังวัดจากหลักเขตดังกล่าวนั้นรุกล้ำเข้าไปในทางสาธารณะ และทำให้ทางสาธารณะที่คั่นอยู่ระหว่างที่ดินโจทก์และจำเลย ร่นเข้าไปอยู่ในที่ดินของโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำของบุคคลอื่นอันจะมีผลให้กระทบกระเทือนถึงที่ดินของโจทก์ หาได้มีข้อความที่เกี่ยวกับจำเลยว่าได้กระทำการอันใดที่ทำให้ทางสาธารณะเข้าไปอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์ หรือทำให้โจทก์เสียหายไม่ กรณีตามฟ้องต้องถือว่ายังไม่มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นระหว่างโจทก์จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๕ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลย
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share