คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 950/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีหลักฐานการซื้อขายที่ดินเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ ทั้งโจทก์มิได้วางมัดจำหรือชำระหนี้บางส่วน จึงฟ้องให้บังคับคดีไม่ได้ พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ว่าเอกสารเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมและการสอบสวนสิทธิในที่ดินเป็นหลักฐานฟ้องบังคับคดีได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ จำเลยฎีกาว่า เรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมและการสอบสวนสิทธิในที่ดินมิใช่สัญญาจะซื้อขายที่ดิน ขอให้ศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยต้องเสียค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาเพียง 50 บาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองสัญญาจะขายที่ดินเนื้อที่ประมาณ ๑๙ ไร่ ๓ งาน ๒๐ วา ให้โจทก์ในราคาไร่ละ ๖,๐๐๐ บาท เป็นเงินทั้งสิ้น ๑๑๘,๘๐๐ บาท โดยตกลงจะชำระเงินกันในวันโอนทางทะเบียนภายหลังจากที่เจ้าพนักงานได้รังวัดสอบเขตและประกาศแล้ว และโจทก์จำเลยได้ยื่นเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมขายที่ดินแปลงดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานที่ดิน โดยทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อโจทก์จำเลยไว้เป็นหลักฐาน ต่อมาจำเลยผิดสัญญา ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองขายที่ดินให้โจทก์ตามสัญญา
จำเลยทั้งสองให้การว่า ไม่ได้ทำหนังสือสัญญาจะขายที่ดินกับโจทก์ โจทก์ตกลงจะวางเงินมัดจำให้จำเลยในวันลงชื่อในบันทึกเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมและการสอบสวนสิทธิในที่ดิน เป็นจำนวน ๖๐,๐๐๐ บาท แล้วโจทก์ไม่ยอมวางเงินมัดจำ จึงเป็นฝ่ายผิดข้อตกลงเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมและการสอบสวนสิทธิในที่ดินไม่มีข้อสัญญาระหว่างโจทก์จำเลย ไม่ใช่หลักฐานในการซื้อขาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ก่อนสืบพยาน ศาลชั้นต้นสอบถามคู่ความ แล้วสั่งงดสืบพยานทั้งสองฝ่าย และวินิจฉัยว่าเอกสารเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมและการสอบสวนสิทธิในที่ดินเป็นเรื่องระหว่างเจ้าพนักงานที่ดินกับโจทก์จำเลย ไม่มีข้อตกลงในการซื้อขายที่ดิน ไม่พอถือว่าเป็นสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินตามฟ้อง โจทก์จึงไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ ทั้งโจทก์มิได้วางมัดจำหรือชำระหนี้บางส่วน โจทก์ฟ้องบังคับคดีไม่ได้ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เอกสารเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมและการสอบสวนสิทธิในที่ดิน โจทก์จำเลยต่างลงชื่อไว้เป็นหลักฐาน ถือได้ว่าโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๕๖ วรรค ๒ โจทก์มีอำนาจฟ้อง คดีจำต้องสืบพยานต่อไป พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ คืนค่าขึ้นศาลที่เกินมาให้โจทก์ ๒,๙๐๐ บาท
จำเลยทั้งสองฎีกาว่า เรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมและการสอบสวนสิทธิในที่ดิน ไม่ใช่สัญญาจะซื้อขายที่ดิน ขอให้พิพากษากลับ ยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมและการสอบสวนสิทธิในที่ดินเป็นหลักฐานที่แสดงว่าโจทก์จำเลยได้ตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกันโจทก์มีสิทธิที่จะฟ้องร้องบังคับคดีได้
พิพากษายืน ให้คืนค่าขึ้นศาลให้จำเลย ๒,๙๒๐ บาท ค่าฤชาธรรมเนียมอื่น ๆ ในชั้นฎีกา ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่

Share