คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 430/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ก่อนถึงวันนัดสืบพยานจำเลยซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อน จำเลยยื่นคำร้องขอวางเงิน 190,000 บาท ซึ่งเป็นยอดเงินที่ ไม่ได้โต้เถียงกันพร้อมทั้งดอกเบี้ยเพื่อชำระหนี้ให้แก่ผู้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ และโจทก์ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวไปแล้ว แม้จำเลยจะนำเงินมาชำระหนี้โดยวางเงินต่อศาลไม่เต็มตามจำนวนที่โจทก์เรียกร้องก็ตามแต่จำเลยก็ได้แถลงยอมรับผิดในจำนวนเงิน 190,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยที่ค้างชำระ ทั้งยอมให้โจทก์รับเงินจำนวนดังกล่าวนั้นไปได้และโจทก์รับเงินจำนวนดังกล่าวไปจากศาลแล้ว กรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 135, 136 วรรคแรกจำเลยจึงไม่ต้องเสียดอกเบี้ยในจำนวนเงิน 190,000 บาท ตั้งแต่วันที่วางต่อศาล

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนางเสมอ เมื่อครั้งนางเสมอมีชีวิต จำเลยได้ทำสัญญากู้เงินนางเสมอไป ๕๐๐,๐๐๐ บาทดอกเบี้ยชั่งละ ๑ บาทต่อเดือนกำหนดชำระภายในเดือนมกราคม ๒๕๑๓จำเลยค้างชำระดอกเบี้ยตั้งแต่เดือนสิงหาคม ๒๕๑๑ ถึงวันฟ้องเป็นเวลา๒ ปี ๒ เดือน เป็นดอกเบี้ย ๑๖๒,๕๐๐ บาท โจทก์ทวงถาม จำเลยเพิกเฉยขอให้ศาลบังคับจำเลยใช้เงินจำนวนดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยชั่งละ๑ บาทต่อเดือนในต้นเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การรับว่าได้ทำสัญญากู้เงินนางเสมอเป็นจำนวนเงิน๕๐๐,๐๐๐ บาทจริง แต่เมื่อกลางเดือนพฤษภาคม ๒๕๑๑ นางเสนอได้รับคืนไปแล้ว ๓๑๐,๐๐๐ บาท เงินตามสัญญากู้จึงเหลือที่จำเลยเพียง ๑๙๐,๐๐๐บาท เงินที่ค้างชำระหนี้จำเลยพร้อมที่จะชำระให้โจทก์ โจทก์คำนวณระยะเวลาที่ค้างชำระดอกเบี้ยคลาดเคลื่อน และดอกเบี้ยผู้ตายคิดเพียงร้อยละ ๑ บาทต่อเดือน และต่อสู้ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ระหว่างพิจารณาจำเลยได้วางเงิน ๑๙๐,๐๐๐ บาทตามคำให้การของจำเลยพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราชั่งละ ๑ บาทต่อเดือนไว้ต่อศาล และจำเลยยอมให้โจทก์รับเงินจำนวนดังกล่าวไปได้ และในที่สุดโจทก์ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวไปจากศาลแล้ว
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องและฟังว่า ผู้ตายให้จำเลยกู้เงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ผู้ตายได้รับเงินจากสามีจำเลยไปแล้ว๓๑๐,๐๐๐ บาท แต่เป็นเงินอีกจำนวนหนึ่งไม่เกี่ยวกับเงินกู้ตามสัญญาและฟังว่าผู้ตายคิดดอกเบี้ยจากจำเลยอัตราร้อยละ ๑ บาทต่อเดือนพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ๑ บาทต่อเดือน นับแต่เดือนกันยายน ๒๕๑๑ จนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้อง และฟังว่าจำเลยชำระเงินกู้คืนให้ผู้ตายแล้ว ๓๑๐,๐๐๐ บาท ยังคงค้างชำระเพียง ๑๙๐,๐๐๐บาท สำหรับดอกเบี้ยในจำนวนเงิน ๑๙๐,๐๐๐ บาท ที่วางศาลและโจทก์รับไปนั้น เห็นว่าจำเลยวางเงินโดยมีข้อต่อสู้ตามคำให้การว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง และดอกเบี้ยก็อัตราร้อยละ ๑ ต่อเดือน ไม่ใช่อัตราชั่งละ๑ บาทต่อเดือนดังโจทก์ฟ้อง ขณะวางเงินจำเลยก็ยังต่อสู้เรื่องอัตราดอกเบี้ยเช่นนั้นอีก เป็นการวางเงินโดยไม่ยอมรับผิด จำเลยจึงต้องเสียดอกเบี้ยในจำนวนเงินนั้นต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๓๖ วรรค ๒ พิพากษาแก้ให้จำเลยชำระต้นเงิน ๑๙๐,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑ ต่อเดือน ตั้งแต่เดือนกันยายน ๒๕๑๐ เป็นต้นไปจนกว่าชำระเงินเสร็จ
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า จำเลยชำระเงินกู้คืนให้ผู้ตายแล้ว ๓๑๐,๐๐๐ บาทและเห็นว่าแม้จำเลยจะนำเงินมาชำระหนี้โดยวางเงินต่อศาลไม่เต็มตามจำนวนที่โจทก์ได้เรียกร้องก็ตาม แต่จำเลยก็ได้แถลงยอมรับผิดในจำนวนเงิน ๑๙๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยที่ค้างชำระ ทั้งยอมให้โจทก์รับเงินไปได้ และโจทก์รับเงินจำนวนดังกล่าวไปจากศาลแล้วกรณีต้องด้วย ป.วิ.พ. มาตรา ๑๓๕ และ ๑๓๖ วรรคแรก จำเลยจึงไม่ต้องเสียดอกเบี้ยในจำนวนเงิน ๑๙๐,๐๐๐ บาท ตั้งแต่วันที่วางต่อศาลแล้วส่วนปัญหาว่าจำเลยจะต้องชำระดอกเบี้ยก่อนวางเงินจำนวน ๑๙๐,๐๐๐ บาทตั้งแต่เมื่อใดนั้น ปรากฏว่าจำเลยทำสัญญากู้เงินผู้ตายเมื่อวันที่ ๒๖มกราคม ๒๕๑๑ ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยค้างชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ๑ บาทต่อเดือน ตั้งแต่เดือนกันยายน ๒๕๑๑ เป็นต้นมา และโจทก์จำเลยมิได้อุทธรณ์ จึงฟังได้ว่าจำเลยค้างชำระดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวตั้งแต่เดือนกันยายน ๒๕๑๑ การที่ศาลอุทธรณ์ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยตั้งแต่เดือนกันยายน ๒๕๑๐ จึงไม่ถูกต้อง
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะดอกเบี้ยว่า ให้คำนวณดอกเบี้ยที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์ในอัตราร้อยละ ๑ ต่อเดือนของต้นเงิน๑๙๐,๐๐๐ บาท ตั้งแต่เดือนกันยายน ๒๕๑๑ จนถึงวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๑๓(วันที่วางเงินต่อศาล) ส่วนดอกเบี้ยหลังจากนั้นจำเลยไม่ต้องชำระนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share