คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3341/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ทางที่จำเลยปิดกั้นเป็นทางคันลำกระโดงสวนในที่ดินของจำเลยซึ่งโจทก์เจ้าของที่ดินอีกแปลงหนึ่งได้ใช้เดินเข้าออกสู่ทางสาธารณะ เป็นเวลาติดต่อกันมาไม่น้อยกว่า 30 ปีก็ตามแต่เมื่อโจทก์เบิกความว่า โจทก์เดินมาโดยถือวิสาสะกันโดยไม่ต้องบอกกล่าวเจ้าของที่ดิน และพยานโจทก์ปากอื่นก็เบิกความว่า ที่โจทก์เดินผ่านก็โดยอาศัยความคุ้นเคยกัน ดังนี้โจทก์จะเถียงว่าเป็นการใช้สิทธิโดยปรปักษ์หาได้ไม่ เมื่อจำเลยซื้อที่ดินนั้นมาแล้ว และจำเลยได้ทำทางขึ้นใหม่แม้จะฟังว่าโจทก์ได้ใช้ทางที่จำเลยทำขึ้นใหม่นี้โดยปรปักษ์ แต่นับถึงวันฟ้องยังไม่ถึง 10 ปี ทางพิพาทจึงไม่ตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซื้อที่ดินมีโฉนด ๑ แปลงซึ่งอยู่ติดกับที่ดินมีโฉนดของโจทก์ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ แล้วจำเลยได้แบ่งแยกจัดสรรเป็นแปลงเล็ก ๆ ขายให้บุคคลอื่นคงเหลือเป็นที่ดินของจำเลยกว้าง๘.๙๐ เมตร และอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์กับพวก ที่ดินของโจทก์กับพวกถูกที่ดินของจำเลยและบุคคลอื่นล้อมรอบทุกด้านไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ และบริวารได้ใช้ที่ดินของจำเลยกว้าง๑.๕๐ เมตร ยาว ๘.๐๐ เมตร เป็นทางเดินเข้าออกสู่ทางสาธารณะโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาให้เป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์เป็นเวลาติดต่อกันมาไม่น้อยกว่า ๕๐ ปีแล้ว แต่เมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๐๑จำเลยใช้บริวารนำสังกะสีมาปิดกั้นทางภารจำยอมดังกล่าว โจทก์ทั้งสองกับพวกจึงไม่อาจใช้เดินเข้าออกสู่ทางสาธารณะได้ ทำให้โจทก์ไม่อาจนำพืชผลไม้ออกไปขายได้ตามปกติขาดรายได้วันละ ๒๐๐ บาท โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยเลิกปิดกั้นแล้ว จำเลยเพิกเฉย จึงขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินของจำเลยซึ่งกว้าง๑.๕๐ เมตร ยาว ๘.๐๐ เมตร เป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยรื้อสังกะสีที่ปิดกั้น ห้ามรบกวนการใช้สิทธิภารจำยอมของโจทก์ และใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า ที่ดินของโจทก์มีทางออกสู่ทางสาธารณะทั้งทางทิศเหนือทิศตะวันออกและทิศตะวันตก และไม่มีทางภารจำยอมในที่ดินของจำเลยเมื่อจำเลยทำถนนส่วนบุคคลเพื่อจัดสรรขายที่ดินที่แบ่งแยก โจทก์จะขออาศัยทางเดินและจะให้คนเช่าที่ดินของโจทก์เดินจำเลยไม่ยอม จึงหาเหตุมาฟ้องจำเลย ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย ค่าเสียหายสูงเกินไป
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม โจทก์มีอำนาจฟ้องที่ดินของจำเลยตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินโจทก์ แต่ฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหาย พิพากษาว่าที่ดินของจำเลยโฉนดที่ ๙๗๔๙ ซึ่งแยกจากโฉนดที่ ๘๗๔ เป็นภารจำยอมแก่ที่ดินโฉนดที่ ๑๘๙๘ ของโจทก์ ให้จำเลยรื้อรั้วเปิดทางเดินให้โจทก์เดินผ่านที่ดินของจำเลยแปลงนี้ไปออกทางด้านตรงข้ามได้ตลอดแนวเขตกว้างไม่น้อยกว่า ๑ เมตร คำขอนอกจากนี้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ฟ้องไม่เคลือบคลุม โจทก์ได้ใช้คันลำกระโดงในที่ดินโฉนดที่ ๘๗๔ เป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า ๓๐ ปีมาแล้ว แต่โจทก์ใช้โดยถือวิสาสะหรือความคุ้นเคยมาแต่ครั้งโฉนดที่ ๘๗๔ ของจำเลยยังเป็นของนางลอยโดยฉันมิตรไม่เข้าลักษณะเป็นการใช้สิทธิโดยปรปักษ์ พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยในปัญหาที่ว่า ทางพิพาทซึ่งอยู่ในที่ดินของจำเลยโฉนดที่ ๙๗๔๙ ซึ่งแยกมาจากโฉนดที่ ๘๗๔ ตกอยู่ในภารจำยอมแก่ที่ดินโฉนดที่ ๑๘๙๘ หรือไม่
ข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาโดยไม่มีฝ่ายใดโต้เถียงมีว่าที่ดินโฉนดที่ ๑๙๘๙ ทางด้านทิศใต้ติดกับที่ดินโฉนดที่ ๘๗๔ ที่โจทก์กับพวกเดินออกจากที่ดินโฉนดที่ ๑๘๙๘ เข้าออกสู่ทางสาธารณะนั้น ได้เดินผ่านลำกระโดงสวนในที่ดินโฉนดที่ ๘๗๔ และคั้นลำกระโดงของนายคลี่ อื้อฉาวและคันลำกระโดงสวนของนายแหยม คล้อยพึ่งอาจเป็นเวลาติดต่อกันมาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๓๐ ปี เมื่อจำเลยและนางอุไรซื้อที่ดินโฉนดที่ ๘๗๔มาแล้ว จำเลยและนางอุไรได้แบ่งที่ดินโฉนดที่ ๘๗๔ ออกเป็นแปลงเล็ก ๆจัดสรรขายให้แก่บุคคลอื่น และได้ทำทางเดินระหว่างที่ดินโฉนดที่ ๘๗๔กับที่ดินโฉนดที่ ๖๒๙ ของนายคลี่ขึ้นและให้ชื่อว่า ซอยปรึกษาธรรม และใช้ทางที่ทำขึ้นนี้เชื่อมต่อที่ดินของบุคคลอื่นออกสู่ซอยร่วมพัฒนาและถนนจรัญสนิทวงศ์ที่ทำทางขึ้นโดยใช้ดินถมตามแนวคันลำกระโดงสวนโจทก์กับพวกได้ใช้เส้นทางดังกล่าวเดินออกจากที่ดินโฉนดที่ ๑๘๙๘ของโจทก์สู่ทางสาธารณะ ต่อมาเมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๑๑ จำเลยได้ใช้รั้วสังกะสีปิดกั้นทางเดินระหว่างที่ดินจำเลยและโจทก์ที่ติดต่อกันไม่ให้ใช้ทางเดินที่จำเลยทำขึ้นนั้น เห็นว่า ทางที่จำเลยปิดกั้นนี้แม้เป็นทางคันลำกระโดงสวนในที่ดินโฉนดที่ ๘๗๔ ซึ่งโจทก์อยู่ในที่ดินโฉนดที่ ๑๘๙๘ ได้ใช้เดินเข้าออกสู่ทางสาธารณะเป็นเวลาติดต่อกันมาไม่น้อยกว่า ๓๐ ปีก็ตาม แต่ตามคำเบิกความของโจทก์ที่ ๒ ว่าทางเดินบนคันลำกระโดงสวนใช้เดินมาโดยการถือวิสาสะกันโดยไม่ต้องบอกกล่าวแก่เจ้าของที่ดิน นายเต็ม แขเขียว พยานโจทก์ซึ่งเป็นสามีนางลอย แขเขียวผู้ที่ขายที่ดินโฉนดที่ ๘๗๔ ให้จำเลยก็เบิกความว่า ที่โจทก์เดินผ่านที่ดินแปลงที่ขายให้แก่จำเลยก็อาศัยความคุ้นเคยกันทั้งไม่ให้ทุกคนใช้เดินด้วยและนายคลี่พยานโจทก์ก็เบิกความว่าที่โจทก์เดินผ่านที่ดินของนางลอยซึ่งเป็นที่ดินของจำเลยในขณะนี้ก็โดยอาศัยความคุ้นเคยกัน เมื่อได้ความจากพยานโจทก์เบิกความเช่นนี้ จึงฟังได้ว่า เมื่อที่ดินโฉนดที่ ๘๗๔ ของจำเลยตั้งแต่ครั้งยังเป็นของนายลอย แขเขียว อยู่นั้น โจทก์เดินผ่านคันลำกระโดงในโฉนดที่ ๘๗๔ ได้ก็โดยถือวิสาสะหรือความคุ้นเคยโดยฉันมิตร โจทก์จะเถียงว่าเป็นการใช้สิทธิโดยปรปักษ์นั้นรับฟังไม่ขึ้น จำเลยได้ถมทำทางขึ้นใหม่เมื่อจำเลยซื้อที่ดินมาแล้วเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๖ แม้จะฟังว่าโจทก์ได้ใช้ทางที่จำเลยทำขึ้นใหม่โดยปรปักษ์ แต่นับถึงวันฟ้องคดียังไม่ถึง ๑๐ ปี ทางพิพาทจึงไม่ตกเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินโฉนดที่ ๑๘๙๘
พิพากษายืน

Share