คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2211/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ผู้ให้เช่ารับเงินกินเปล่าไว้จากผู้เช่านั้น หาใช่เป็นการรับไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 406 ไม่ หากแต่เป็นการรับไว้เนื่องจากผู้ให้เช่ายอมให้ผู้เช่าทำสัญญาเช่า ผู้ให้เช่าไม่ให้ผู้เช่าอยู่ครบกำหนดตามที่ตกลงกัน ผู้เช่าเรียกเงินกินเปล่าคืน เพราะผู้ให้เช่าผิดสัญญาจะต้องใช้อายุความทั่วไป ซึ่งมีกำหนด 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164
สัญญาเช่ามิได้จดทะเบียนมีผลบังคับเพียง 3 ปี แต่เมื่อผู้เช่ายังคงครองทรัพย์สินอยู่ และผู้ให้เช่าไม่ทักท้วง ย่อมถือได้ว่าคู่สัญญาเป็นอันได้ทำสัญญากันต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลา ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 570 ดังนั้น ตราบใดที่ผู้เช่ายังเช่าห้องพิพาทอยู่ สิทธิเรียกร้องเงินกินเปล่าของผู้เช่าจึงยังไม่เกิดขึ้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและขอแก้ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๖ จำเลยที่ ๑ได้ทำสัญญาให้โจทก์เช่าบ้านโดยตกลงว่าจะให้โจทก์เช่าอยู่ตลอดอายุของโจทก์ภรรยาและบุตรโจทก์ได้ให้เงินกินเปล่าจำเลยที่ ๑ ไป ๑๐๐,๐๐๐ บาทโดยหักหนี้เงินยืมกัน นอกจากนี้โจทก์ได้ซ่อมแซมห้องพิพาทอีก สิ้นเงินไป๕,๐๐๐ บาทเศษ หลังจากโจทก์เช่าอยู่ไม่ถึง ๓ ปี โจทก์ขอร้องให้จำเลยที่ ๑ไปจดทะเบียนการเช่าหลายครั้ง จำเลยที่ ๑ ว่าไม่จำเป็นครั้นเดือนพฤศจิกายน๒๕๐๗ จำเลยที่ ๒ มารดาจำเลยที่ ๑ ได้ขอขึ้นค่าเช่า โจทก์ไม่ตกลงด้วย ต่อมาเมื่อวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๐๘ จำเลยที่ ๑ ได้โอนห้องพิพาทให้จำเลยที่ ๓ และจำเลยที่ ๓ ได้ฟ้องขับไล่โจทก์ การกระทำของจำเลยทั้งสามได้สมรู้ร่วมคิดกันจะต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ โดยให้จำเลยคืนเงิน๑๐๐,๐๐๐ บาทให้โจทก์ และใช้ค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ไม่ได้อยู่ในห้องเช่าคิดเป็นเงินเดือนละ ๑,๘๗๐ บาท นับแต่วันที่โจทก์ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในบ้านเช่าจนตลอดชีวิตของโจทก์
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่เคยเป็นหนี้โจทก์ ไม่เคยหักหนี้๑๐๐,๐๐๐ บาทจากโจทก์ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม คดีขาดอายุความแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทน จำเลยที่ ๒ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ได้เป็นคู่สัญญา ไม่ควรต้องรับผิดและจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ขอเพิ่มเติมคำให้การว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ ๔๓๗/๒๕๐๘ ของศาลชั้นต้น
ก่อนสืบพยานคู่ความแถลงรับกันว่า ในการที่โจทก์เช่าห้องพิพาทจำเลยที่ ๑ ได้รับเงินกินเปล่า ๑๐๐,๐๐๐ บาทจากโจทก์ไว้จริง และได้ทำหนังสือสัญญาเช่ากันไว้ตามเอกสารหมาย จ.๑ แต่ไม่ได้จดทะเบียนการเช่าจำเลยได้ฟ้องขับไล่โจทก์ ศาลฎีกาได้พิพากษาให้ขับไล่โจทก์ และโจทก์ได้ออกจากห้องพิพาทไปแล้ว
ศาลชั้นต้นงดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมไม่เป็นฟ้องซ้ำ คดียังไม่ขาดอายุความ จำเลยที่ ๑ มีหน้าที่ต้องคืนเงิน๑๐๐,๐๐๐ บาทให้โจทก์ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ไม่ต้องร่วมรับผิดด้วย ค่าเสียหายโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้อง พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ คืนเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทให้โจทก์
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ว่า คดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว เพราะเป็นการฟ้องตามลักษณะลาภมิควรได้ จำเลยไม่ต้องรับผิดคืนเงินกินเปล่าให้โจทก์ถ้าจะรับผิดก็ต้องคำนวณตามส่วนถัวเฉลี่ย เพราะโจทก์ใช้สิทธิตามสัญญามาเป็นเวลา ๑๖ ปีเศษ
โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ร่วมรับผิด คืนเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทด้วยและให้จำเลยร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามฟ้อง
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ โจทก์ชอบจะได้เงินคืนโดยคิดเฉลี่ยหักทอนกับที่โจทก์ได้ประโยชน์ตามสัญญาเช่าบ้างแล้วพิพากษาแก้ให้จำเลยที่ ๑ คืนเงินให้โจทก์ ๖๕,๒๒๐ บาท ส่วนอุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ จำเลยไม่ต้องคืนเงินให้โจทก์
โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท และร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ตามฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ ๑ รับเงินกินเปล่าไว้จากโจทก์นั้นหาใช่เป็นการรับไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๐๖ ไม่ หากแต่เป็นการรับไว้เนื่องจากจำเลยยอมให้โจทก์ทำสัญญาเช่าห้องพิพาท แล้วจำเลยไม่ให้โจทก์อยู่ครบกำหนดตามที่ตกลงกัน โจทก์จึงเรียกเงินกินเปล่าคืน เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าโจทก์เรียกเงินคืนเพราะเหตุจำเลยผิดสัญญา จะต้องใช้อายุความทั่วไปซึ่งมีกำหนด ๑๐ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๔ฟ้องโจทก์จึงหาใช่เป็นเรื่องเรียกคืนลาภมิควรได้อันมีอายุความ ๑ ปีสัญญาเช่าระหว่างโจทก์จำเลยมิได้จดทะเบียน มีผลบังคับเพียง ๓ ปีแม้สัญญาเช่าจะสิ้นกำหนดระยะเวลาเช่าแล้วแต่เมื่อผู้เช่ายังคงครองทรัพย์สินอยู่ และผู้ให้เช่าไม่ทักท้วง ย่อมถือได้ว่าคู่สัญญาเป็นอันได้ทำสัญญาเช่ากันต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลา ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๗๐ ตราบใดที่โจทก์ยังเช่าห้องพิพาทอยู่สิทธิเรียกร้องเงินกินเปล่าคืนของโจทก์จึงยังไม่เกิดขึ้น ฎีกาของจำเลยที่ ๑ฟังไม่ขึ้น
ส่วนฎีกาของโจทก์ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ศาลอุทธรณ์คิดหักทอนตามส่วนเฉลี่ยที่โจทก์ได้ใช้ประโยชน์ห้องพิพาทเป็นเวลาถึง ๑๖ ปี และพิพากษาแก้ให้จำเลยที่ ๑ รับผิดเพียง ๖๕,๒๒๐ บาท ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะแก้ไข และที่ขอให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ รับผิดคืนเงินกินเปล่าร่วมกับจำเลยที่ ๑และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ มิได้เป็นคู่สัญญารับเงินกินเปล่าจากโจทก์ ส่วนที่โจทก์ต้องออกจากห้องพิพาทก็โดยผลแห่งกฎหมาย ซึ่งศาลฎีกาได้พิพากษาในคดีก่อนให้ขับไล่โจทก์และไม่ใช่เป็นเรื่องจำเลยใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ ฎีกาโจทก์ทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา ๘๐๐ บาทแทนจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความชั้นฎีการะหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ให้เป็นพับ

Share