แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
“เงินเพิ่ม” ประมวลรัษฎากร มาตรา 89 ตรี ให้ถือว่าเป็นเงินภาษีและ ถือว่าได้เกิดขึ้นแล้วพร้อมกับหนี้ภาษีการค้า เมื่อกรมสรรพากรมีสิทธิได้รับชำระหนี้ภาษีการค้าก็ย่อมมีสิทธิได้รับชำระเงินเพิ่มด้วยแม้ว่ามูลหนี้ภาษีการค้าจะเกิดขึ้นก่อนผู้ประกอบการค้าถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ และเจ้าพนักงานประเมินจะมิได้แจ้งการประเมินไปยังผู้ประกอบการค้าก็ตาม (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่1826/2511)
ห้างจำเลยและผู้เป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิด ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์และพิพากษาให้ล้มละลาย กรมสรรพากรยื่นคำขอรับชำระหนี้ค่าภาษีการค้าซึ่งห้างจำเลยค้างชำระในฐานะหนี้บุริมสิทธิ(ลำดับ 6) ศาลชั้นต้นสั่งให้ได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของผู้เป็นหุ้นส่วนเท่านั้น เพราะกรมสรรพากรมิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของห้างจำเลยภายในกำหนด กรมสรรพากรมิได้อุทธรณ์โต้แย้ง การที่กรมสรรพากรจะมีสิทธิได้รับชำระหนี้ในลำดับใด ต้องถือวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ผู้เป็นหุ้นส่วนเป็นเกณฑ์พิจารณา จะถือเอาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ห้างจำเลยซึ่งศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้กรมสรรพากรได้รับชำระหนี้เป็นยุติไปแล้วมาเป็นเกณฑ์หาได้ไม่ เมื่อปรากฏว่าหนี้ค่าภาษีการค้าที่ขอรับชำระหนี้ถึงกำหนดชำระเกินกว่าหกเดือนก่อนมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ผู้เป็นหุ้นส่วนกรมสรรพากรย่อมไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้ดังกล่าวจากกองทรัพย์สินของผู้เป็นหุ้นส่วนในลำดับ 6 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483มาตรา 130 คงมีสิทธิได้รับชำระหนี้ในฐานะหนี้อื่นๆ ตามลำดับ 8 เท่านั้น
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยล้มละลาย แล้วต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ร้องขอให้สั่งให้นายยู่หลี นายยู่หมง นายยู่ซ้ง และนายสมชายผู้เป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดของห้างจำเลยล้มละลายด้วยศาลพิพากษาให้บุคคลทั้งสี่นี้ล้มละลาย
กรมสรรพากรยื่นคำขอรับชำระหนี้ค่าภาษีอากร ๔๘,๑๕๘.๒๐ บาทจากกองทรัพย์สินของห้างจำเลย และของนายยู่หลีกับพวก
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้วรายงานความเห็นว่ากรมสรรพากรยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของห้างจำเลยพ้นกำหนด ๒ เดือนนับแต่วันประกาศ ไม่มีสิทธิรับชำระหนี้คงมีสิทธิขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของนายยู่หลีกับพวกเท่านั้น แต่ไม่ใช่หนี้ภาษีอากรที่ถึงกำหนดชำระภายใน ๖ เดือน ก่อนมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์และเงินเพิ่มเจ้าพนักงานประเมินมิได้แจ้งประเมินไปยังจำเลย กลับแจ้งไปยังเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ จึงไม่มีสิทธิเรียก ควรให้กรมสรรพากรได้รับชำระหนี้ค่าภาษีอากร ๓๗,๗๐๔.๐๘ บาทในฐานะหนี้อื่น ๆ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๓๐ (๘)
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเห็นชอบตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
กรมสรรพากรอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้กรมสรรพากรได้รับชำระหนี้ค่าภาษีอากรจำนวน ๔๘,๑๕๘.๒๐ บาทตามคำขอ
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของนายยู่หลีกับพวก และกรมสรรพากรฎีกา
ปัญหาข้อแรกมีว่า กรมสรรพากรมีสิทธิได้รับเงินเพิ่มตามประมวลรัษฎากรมาตรา ๘๖ ทวิ และ ๘๙ ทวิ หรือไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า กรณีนี้เป็นเรื่องที่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีคือห้างหุ้นส่วนจำเลย ถูกศาลสั่งให้ล้มละลายแล้ว มูลหนี้รายนี้เป็นหนี้ภาษีการค้า ซึ่งห้างหุ้นส่วนจำเลยจะต้องชำระและถึงกำหนดชำระภายในวันที่ ๑๕ ของเดือนธันวาคม ๒๕๐๗และเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ ๒๕๐๘ จึงเป็นมูลหนี้ที่ได้เกิดขึ้นแล้วก่อนที่ห้างหุ้นส่วนจำเลยและนายยู่หลี แซ่ลิ้ม กับพวกถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ เงินเพิ่มกฎหมายก็ให้ถือว่าเป็นเงินภาษีตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๘๙ ตรี และเงินเพิ่มนี้ถือว่าได้เกิดขึ้นแล้วพร้อมกับหนี้ภาษีการค้า ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นอ้างเมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เห็นควรให้กรมสรรพากรเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ภาษีการค้าแล้ว เหตุใดจึงจะไม่ยอมให้ได้รับชำระเงินเพิ่มซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับภาษีการค้าด้วย ข้อฎีกาของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของนายยู่หลีแซ่ลิ้ม กับพวกไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงข้อวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ได้
ที่กรมสรรพากรฎีกาขอให้ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดในฐานะหนี้บุริมสิทธิตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา ๑๓๐ (๖) โดยอ้างว่าหนี้รายนี้ถึงกำหนดชำระภายใน ๖ เดือนก่อนมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ห้างหุ้นส่วนจำเลยนั้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า กรณีนี้ศาลชั้นต้นสั่งให้กรมสรรพากรได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของนายยู่หลี แซ่ลิ้ม กับพวกเท่านั้นเพราะกรมสรรพากรมิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนจำเลยภายในกำหนดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๑ กรมสรรพากรก็มิได้อุทธรณ์โต้แย้งประการใด ศาลอุทธรณ์ให้ถือเอาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของนายยู่หลี แซ่ลิ้มกับพวก เป็นเกณฑ์วินิจฉัยว่า หนี้รายนี้เกินกำหนดตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๓๐ (๖) แล้ว ที่กรมสรรพากรขอให้ถือเอาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของห้างหุ้นส่วนจำเลยเป็นเกณฑ์คำนวณตามมาตรา ๑๓๐ (๖) เสมือนเป็นการขอเอาชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนจำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อกรมสรรพากรขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของนายยู่หลี แซ่ลิ้มกับพวกการที่จะมีสิทธิได้รับชำระหนี้ในลำดับใด ก็ต้องถือวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์นายยู่หลี แซ่ลิ้มกับพวกเป็นเกณฑ์พิจารณา จะถือเอาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ห้างหุ้นส่วนจำเลยซึ่งศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้กรมสรรพากรได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนจำเลยเป็นยุติไปแล้วมาเป็นเกณฑ์หาได้ไม่เมื่อปรากฏว่าหนี้รายนี้ถึงกำหนดชำระเกินกว่าหกเดือนก่อนมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของนายยู่หลี แซ่ลิ้ม กับพวก กรมสรรพากรจึงไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้รายนี้ในลำดับ ๖ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๓๐ คงมีสิทธิได้รับชำระหนี้ในฐานะหนี้อื่น ๆ ตามลำดับ ๘ เท่านั้น
พิพากษายืน