คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2283/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเข้าใจคำฟ้องและต่อสู้คดีเป็นลำดับมา โดยมีทนายความคอยช่วยเหลือจนเสร็จการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยไม่ได้ยกเหตุที่จำเลยไม่สมควร ต้องรับโทษเพราะเหตุจิตบกพร่องตามมาตรา 65 ขึ้นกล่าวอ้างในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นจนศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยแล้ว จำเลยจึงได้ยกเหตุดังกล่าวขึ้นมาอ้างในชั้นอุทธรณ์ เมื่อข้อเท็จจริงนี้จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น การรับวินิจฉัยปัญหาที่จำเลยฎีกา จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา15 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจใช้มีดพกปลายแหลมเป็นอาวุธแทงจ่าอากาศเอกสมหวัง เรไร ที่บริเวณหน้าอกใกล้นมซ้ายและขวา บริเวณหน้าท้องใกล้สะดือกับท่อนแขนซ้ายโดยเจตนาฆ่า จ่าอากาศเอกสมหวังได้ถึงแก่ความตายเพราะบาดแผลที่ถูกแทง เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยมีดที่ใช้กระทำผิด ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘และริบมีดของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ ก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยขอให้การรับสารภาพตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๘ จำคุกจำเลยตลอดชีวิต รับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก ๑๒ ปี ของกลางริบ
จำเลยอุทธรณ์ว่า ขณะจำเลยกระทำผิด จำเลยเป็นคนจิตบกพร่องจึงไม่ควรรับโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๖๕
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เหตุที่จำเลยยกขึ้นอ้างว่าจำเลยไม่ต้องรับโทษนั้นจำเลยเพิ่งจะกล่าวอ้างขึ้นมาในชั้นอุทธรณ์ จึงรับฟังไม่ได้
พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่า จำเลยป่วยเป็นโรคจิต บิดามารดาเคยส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล ดังสำเนาบัตรของโรงพยาบาลท้ายฟ้องฎีกา จำเลยหนีมาจากโรงพยาบาลการกระทำของจำเลยคดีนี้เห็นได้ว่าเข้าลักษณะเป็นคนจิตบกพร่องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๖๕ จำเลยจึงไม่ควรรับโทษ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหามีเพียงว่าจำเลยจะยกเหตุว่าจำเลยได้กระทำผิดในขณะจิตบกพร่อง จำเลยไม่สมควรต้องรับโทษ ขอให้ยกฟ้องขึ้นมาอ้างภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นได้พิพากษาลงโทษจำเลยแล้วได้หรือไม่เห็นว่าเมื่อจำเลยได้รับสำเนาคำฟ้อง ศาลชั้นต้นได้อ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังจำเลยแถลงขอต่อสู้คดีและต้องการทนายความ ศาลได้ขอแรงทนายความให้จำเลยก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยแถลงขอถอนคำให้การเดิมแล้วขอให้การรับสารภาพผิดดังฟ้องโจทก์ ศาลชั้นต้นเชื่อว่าจำเลยกระทำผิดและพิพากษาลงโทษจำเลยจากการดำเนินการพิจารณาของศาลชั้นต้นดังกล่าวมา เห็นได้ว่าจำเลยเข้าใจคำฟ้องและต่อสู้คดีเป็นลำดับมาโดยมีทนายความคอยช่วยเหลือจนเสร็จการพิจารณาของศาลชั้นต้นจำเลยไม่ได้ยกเหตุที่จำเลยไม่สมควรต้องรับโทษเพราะเหตุจิตบกพร่องตามมาตรา ๖๕ ขึ้นกล่าวอ้างในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นจนศาลชั้นต้นเสร็จการพิจารณา และพิพากษาลงโทษจำเลยแล้วจำเลยจึงได้ยกเหตุดังกล่าวขึ้นมาอ้างในชั้นอุทธรณ์ เมื่อข้อเท็จจริงนี้จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น การรับวินิจฉัยปัญหาที่จำเลยฎีกา จึงเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕ ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย พิพากษายืนยกฎีกาจำเลย

Share