คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2217/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ใช้ลูกระเบิดมือขว้างจำเลยที่ 4 ซึ่งวิ่งหนีเข้าไปในกลุ่มคน สะเก็ดระเบิดทำให้คนตาย 7 คน และได้รับอันตรายแก่กายอีกหลายคน การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นลักษณะของการกระทำที่จะทำให้ตายโดยใช้อาวุธที่ร้ายแรง มีอำนาจแห่งการทำลายโดยกว้างขวาง แต่ไม่เป็นการกระทำโดยทารุณโหดร้าย
โจทก์ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2513โจทก์ยื่นฎีกาได้ภายในวันที่ 5 ธันวาคม 2513 แต่เมื่อวันที่ 5, 6 และ 7เป็นวันหยุดราชการ โจทก์จึงยื่นฎีกาในวันที่ 8 ธันวาคม 2513 ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๒๘๙, ๒๙๙, ๘๐, ๘๓ และริบของกลาง
จำเลยที่ ๑ ให้การรับสารภาพ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นซึ่งกระทำโดยทารุณโหดร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙, ๘๐ แต่ให้ลงโทษตามมาตรา ๒๘๙ ซึ่งเป็นบทหนัก ตามมาตรา ๙๐ให้ลงโทษประหารชีวิตจำเลยนี้เสีย ส่วนจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ให้ยกฟ้องปล่อยไปของกลางริบ
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ ตามฟ้อง
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ขอให้ลดโทษ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๒๘๘ ประกอบด้วยมาตรา ๘๐ลงโทษตามมาตรา ๒๘๘ ซึ่งเป็นบทหนักตามมาตรา ๙๐ ให้ลงโทษประหารชีวิตจำเลยที่ ๑ แต่จำเลยที่ ๑ รับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษกึ่งหนึ่งตามมาตรา ๗๘ ประกอบด้วยมาตรา ๕๒ จำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๒๐ ปีนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ กับพวกมีเรื่องโต้เถียงทะเลาะกับจำเลยที่ ๔ นอกประตูวัดศรีชมพู จำเลยที่ ๔ ยิงปืนขึ้น ๑ นัด แล้ววิ่งหนีเข้าประตูวัดไปในกลุ่มคนที่มาเที่ยวดูงานในบริเวณวัด จำเลยที่ ๑ กับพวกวิ่งไล่จับจำเลยที่ ๔ ไปถึงประตูวัดจำเลยที่ ๑ จึงใช้ลูกระเบิดมือ ๑ ลูกขว้างจำเลยที่ ๔ ขณะวิ่งเข้าไปในกลุ่มคนที่มาเที่ยวดูงาน ลูกระเบิดได้ระเบิดขึ้น สะเก็ดระเบิดทำให้กลุ่มคนที่มาเที่ยวดูงานถึงแก่ความตาย๗ คน จำเลยที่ ๔ และคนอื่น ๆ ได้รับอันตรายสาหัสรวม ๔ คน และมีผู้ได้รับอันตรายอีกหลายคนจึงวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยที่ ๑ดังกล่าวเป็นลักษณะของการกระทำที่จะทำให้ตายโดยใช้อาวุธที่ร้ายแรงมีอำนาจแห่งการทำลายโดยกว้างขวาง มิได้มีการกระทำอันแสดงถึงความโหดร้ายทารุณเป็นพิเศษแต่ประการใด กรณีจึงไม่เข้าลักษณะการกระทำโดยทารุณโหดร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙(๕)ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นแต่ศาลฎีกาเห็นด้วยกับฎีกาโจทก์ในข้อที่ว่าศาลอุทธรณ์วางโทษแก่จำเลยที่ ๑ เบาไป
นอกจากนี้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ ๑ กล่าวในคำแก้ฎีกาว่าโจทก์ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีนี้ในวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๑๓โจทก์จะต้องยื่นฎีกาภายในกำหนด ๓๐ วัน คือ ต้องยื่นภายในวันที่ ๔ธันวาคม ๒๕๑๓ ซึ่งเป็นวันสุดท้าย เพราะกฎหมายบัญญัติให้นับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๑๓ กำหนดระยะเวลาฎีกาหนึ่งเดือนจึงเริ่มนับเป็น ๑ วันในวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๑๓ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๘ โจทก์จึงยื่นฎีกาได้ภายในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๑๓ ซึ่งเป็นวันสุดท้าย แต่ปรากฏว่าวันดังกล่าวเป็นวันเสาร์และเป็นวันหยุดราชการวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ ๖ เป็นวันอาทิตย์ วันที่ ๗เป็นวันจันทร์ซึ่งทางราชการให้หยุดราชการชดเชย โจทก์จึงชอบที่จะยื่นฎีกาในวันอังคารที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๑๓ ซึ่งเป็นวันเปิดทำงานได้ หาใช่ยื่นฎีกาได้ภายในวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๑๓ ดังจำเลยเข้าใจไม่
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ ๑ ตลอดชีวิต นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share