คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 362/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กรรมการผู้จัดการของบริษัทโจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อในนามบริษัทโจทก์เป็นคู่สัญญาให้จำเลยเช่าซื้อรถยนต์ โดยกรรมการผู้จัดการนั้นลงชื่อแทน แม้มิได้ประทับตราบริษัทซึ่งตามข้อบังคับที่จดทะเบียนนั้นจะต้องประทับตราด้วย ก็ถือได้ว่าบริษัทโจทก์เป็นคู่สัญญากับจำเลยบริษัทโจทก์ย่อมเอาสัญญาเช่าซื้อที่กรรมการผู้จัดการทำกับจำเลยฟ้องจำเลยได้
(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 992/2497)
บริษัทโจทก์ฟ้องเรียกค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระจากจำเลยตามสัญญาเช่าซื้อที่จำเลยทำกับกรรมการผู้จัดการของบริษัทโจทก์ จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่า กรรมการผู้จัดการไม่มีอำนาจทำสัญญาเช่าซื้อและบริษัทโจทก์ ศาลจะยกปัญหาข้อนี้ขึ้นชี้ขาดยกฟ้องมิได้ เพราะเป็นเรื่องนอกประเด็น.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ได้เช่าซื้อรถยนต์บรรทุกของโจทก์ ๒คัน ราคา ๓๑๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๒, ๓ เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ ๑ผิดนัดค้างชำระค่าเช่าซื้อ ๒๒๔,๐๐๐ บาท โจทก์บอกเลิกสัญญาแล้วขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเช่าซื้อที่ค้าง
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๒, ๓ ต่อสู้ปฏิเสธความรับผิด
ศาลชั้นต้นสอบถาม ทนายจำเลยที่ ๒, ๓ รับว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องและหนังสือรับรองของหอทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลางหมาย จ.๑๐ เป็นสำเนาอันถูกต้อง ทนายโจทก์แถลงว่าบริษัทโจทก์ไม่ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้นายจือซวง แซ่ตั้ง ทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อแทนบริษัทโจทก์เพราะถือว่านายจือซวง แซ่ตั้ง มีอำนาจทำหนังสือสัญญาแทนบริษัทโจทก์ได้
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยาน แล้ววินิจฉัยว่า สัญญาเช่าซื้อหมายจ.๒ ที่โจทก์อ้างฟ้องมีแต่นายจือซวง ลงนามเป็นผู้ให้เช่าซื้อแทนบริษัทโจทก์ ไม่มีตราบริษัทโจทก์ประทับ ไม่ตรงตามข้อบังคับของบริษัทโจทก์ที่จดทะเบียนไว้ว่า ต้องมีกรรมการสองนายตามที่ระบุนามลงชื่อและประทับตราของบริษัท จึงถือไม่ได้ว่าบริษัทโจทก์ได้ลงชื่อในสัญญาเช่าซื้อและทำสัญญาเช่าซื้อ ทั้งบริษัทโจทก์ไม่ได้แต่งตั้งเป็นหนังสือให้นายจือซวงมีอำนาจทำสัญญาเช่าซื้อแทน ดังนั้นสัญญาเช่าซื้อจึงเป็นโมฆะ และการค้ำประกันไม่อาจมีขึ้นได้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยตามนัยฎีกาที่ ๖๘๕/๒๕๐๘ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้ข้อเท็จจริงจะได้ความว่า สัญญาเช่าซื้อดังกล่าวลงชื่อนายจือซวง แซ่ตั้ง เป็นผู้ให้เช่าซื้อ มิได้มีตราบริษัทโจทก์ซึ่งตามข้อบังคับที่จดทะเบียนไว้จะต้องประทับตราด้วยก็ตาม แต่ก็ปรากฏตามหนังสือรับรองของหอทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลางหมาย จ.๑๐ ว่าบริษัทโจทก์ได้จดทะเบียนกำหนดให้นายจือซวง แซ่ตั้งเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทโจทก์ ตามสัญญาเช่าซื้อที่โจทก์อ้างฟ้อง ก็มีข้อความกล่าวชัดในตอนต้นแห่งสัญญาว่า ทำขึ้นระหว่างบริษัทรัตนยนตร์ชัย จำกัด (โจทก์) โดยนายจือซวง แซ่ตั้ง ผู้ให้เช่าซื้อฝ่ายหนึ่ง และจำเลยที่ ๑ ผู้เช่าซื้ออีกฝ่ายหนึ่ง ข้อความเช่นนี้แสดงว่านายจือซวง แซ่ตั้งทำสัญญาในนามของบริษัทโจทก์นั่นเองหาได้ทำเป็นส่วนตัวไม่ การทำสัญญาดังนี้ ถือได้ว่า บริษัทโจทก์เป็นคู่สัญญากับจำเลยที่ ๑ บริษัทโจทก์จึงเอาสัญญาเช่าซื้อฉบับนี้ฟ้องจำเลยได้ ตามนัยฎีกาที่ ๙๙๒/๒๔๙๗ ฎีกาที่ศาลล่างอ้างข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้
อนึ่งคดีนี้จำเลยมิได้ยกข้อต่อสู้ว่า นายจือซวง แซ่ตั้ง ไม่มีอำนาจทำสัญญาเช่าซื้อหมาย จ.๒ แทนบริษัทโจทก์ ศาลล่างยกปัญหานี้ชี้ขาดยกฟ้อง จึงเป็นการนอกประเด็น
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่.

Share