คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 191/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้ซื้อที่ดินโฉนดที่ 14664ของโจทก์ราคา 113,000 บาท จำเลยชำระค่าที่ดินให้โจทก์โดยเช็คสองฉบับ ฉบับหนึ่งเงิน 13,000 บาท อีกฉบับหนึ่งเงิน 100,000 บาท จำเลยได้รับโอนที่ดินจากโจทก์ไปเรียบร้อยในวันซื้อขาย เช็คฉบับเงิน 100,000 บาท โจทก์นำไปขึ้นเงินไม่ได้ คงขึ้นเงินได้แต่เฉพาะเช็คฉบับเงิน 13,000 บาท จำเลยยังเป็นหนี้โจทก์อยู่ 100,000บาท โจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยชำระเงิน 100,000 บาท หลายครั้ง จำเลยก็ไม่ชำระ โจทก์จึงฟ้อง ตามคำฟ้องดังกล่าวแสดงว่า ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องเรียกร้องโดยอาศัยสิทธิอันมีมูลหนี้มาจากสัญญาซื้อขายที่ดิน ซึ่งจำเลยยังเป็นหนี้โจทก์อยู่ การที่โจทก์บรรยายฟ้องถึงเรื่องเช็คมาด้วย ก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงพฤติการณ์ที่โจทก์ยังไม่ได้รับชำระราคาที่ดินจากจำเลยเท่านั้น มิใช่ฟ้องเรียกร้องให้จำเลยชำระเงินตามเช็ค
ฎีกาที่กล่าวอ้างถึงข้อเท็จจริงซึ่งเกิดขึ้นภายหลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดแล้ว ทั้งมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์นั้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ซื้อที่ดินของโจทก์โฉนดที่ ๑๔๖๖๔ ราคา๑๑๓,๐๐๐ บาท และชำระราคาโดยเช็คธนาคารกรุงเทพ ๒ ฉบับ ฉบับแรกจำนวนเงิน ๑๓,๐๐๐ บาท ฉบับที่สองจำนวนเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยได้รับโอนที่ดินไปจากโจทก์แล้วแต่วันซื้อขาย เช็คฉบับแรกโจทก์ขึ้นเงินจากธนาคารได้ ส่วนฉบับหลังขึ้นเงินไม่ได้ เพราะเงินในบัญชีจำเลยไม่พอจ่าย โจทก์ได้ร้องทุกข์ให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการทางอาญาฐานผิดพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ศาลอาญาพิพากษาลงโทษจำเลย โจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยชำระเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท หลายครั้งจำเลยไม่ชำระ ต้องรับผิดใช้ดอกเบี้ยให้โจทก์นับแต่วันผิดนัดถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๕๖,๓๒๐ บาท จำเลยได้หลบหนีไปจากเคหสถานที่เคยอยู่โอนยักย้ายทรัพย์ และมีหนี้สินล้นพ้นตัวไม่สามารถชำระหนี้โจทก์ได้ หนี้โจทก์เป็นหนี้แน่นอน ขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยให้การปฏิเสธฟ้องต่อสู้ว่าคดีขาดอายุความ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยไม่เคยโอนทรัพย์ไปโดยเจตนาลวง จำเลยไม่มีหนี้สินล้นพ้นตัว
คู่ความแถลงรับกันว่า เช็คฉบับที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ โจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาตามสำนวนคดีแดงที่ ๖๑๗/๒๕๐๓ ในคดีนั้น ศาลอาญาฟังว่า จำเลยออกเช็คเพื่อชำระค่าที่ดินแล้วขึ้นเงินไม่ได้จริงพิพากษาจำคุกจำเลย คดีถึงที่สุดแล้ว และโจทก์มิได้ฟ้องคดีแพ่งเรียกเงินจากจำเลยเลยจนบัดนี้ จำเลยยอมรับว่า ไม่มีทรัพย์สินพอที่จะชำระหนี้ให้โจทก์ได้ และโจทก์เคยทวงถามจำเลยขณะมีการดำเนินคดีอาญาแล้วคู่ความไม่ติดใจสืบพยาน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาข้อแรกว่า โจทก์อาศัยมูลหนี้เรื่องเช็คฟ้องจำเลยจึงต้องใช้อายุความ ๑ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา๑๐๐๒ คดีโจทก์ขาดอายุความฟ้องร้องแล้ว
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ เห็นได้ชัดว่าข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องเรียกร้องโดยอาศัยสิทธิอันมีมูลหนี้มาจากสัญญาซื้อขายที่ดินซึ่งจำเลยยังเป็นหนี้โจทก์อยู่ ๑๐๐,๐๐๐ บาท การที่โจทก์บรรยายถึงเรื่องเช็คเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท มาด้วย ก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงพฤติการณ์ที่โจทก์ยังไม่ได้รับชำระราคาที่ดินจากจำเลยเท่านั้นตามฟ้องโจทก์ไม่ปรากฏข้อความใด อันจะแปลความหมายไปได้เลยว่า โจทก์ฟ้องเรียกร้องให้จำเลยชำระเงินตามเช็คแต่ประการใดเลย
จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า หลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดแล้ว โจทก์ไม่นำหลักฐานการเป็นเจ้าหนี้ไปแสดงต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในเวลาที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนด จึงเป็นการแสดงว่า โจทก์ไม่มีหลักฐานอันใดจะไปขอรับชำระหนี้จากจำเลย
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่จำเลยยกขึ้นอ้าง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลังที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดแล้ว ทั้งมิได้เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน.

Share