แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การวินิจฉัยว่า จำเลยขับรถโดยประมาทหรือไม่นั้น ศาลย่อมพิจารณาเอาจากการกระทำของจำเลยฝ่ายเดียวเป็นเครื่องวินิจฉัย อีกฝ่ายหนึ่งจะประมาทหรือไม่ไม่สำคัญ
ความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390 ผู้เสียหายที่จะฟ้องได้ก็คือผู้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ
ความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก เอกชนไม่เป็นผู้เสียหายที่จะฟ้องคดีได้ (อ้างฎีกาที่ 1974/2497).
ย่อยาว
คดีสองสำนวนนี้ศาลพิจารณารวมกัน
คดีแรก โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขับรถโดยประมาทและฝ่าฝืนกฎข้อบังคับไม่หยุดรถก่อนถึงบริเวณทางแยก แล่นไปชนรถร้อยตำรวจเอกสิทธิชัยเสียหายและเป็นเหตุให้ผู้ที่นั่งมาในรถของจำเลยได้รับอันตรายแก่กาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๐ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๔๗๗ มาตรา ๒๙, ๓๑, ๖๖ และพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๔๘๑ ฉบับที่ ๓ มาตรา ๔ ข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรจังหวัดพระนครธนบุรี พ.ศ. ๒๕๐๘ ลักษณะ ๑ หมวด ๑
ร้อยตำรวจเอกสิทธิชัยขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลอนุญาต
สำนวนหลัง นางพิมพ์เป็นโจทก์ฟ้องร้อยตำรวจเอกสิทธิชัยเป็นจำเลยว่า จำเลยขับรถโดยประมาท ถึงสี่แยกไม่เบาเครื่องแล้วหักเลี้ยวเข้าไปชนรถนายอู๋ ทำให้โจทก์ได้รับอันตรายแก่กาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๐๐, ๓๙๐ พระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. ๒๔๗๗ มาตรา ๑๓, ๒๙, และ ๖๖ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๔๘๑ฉบับที่ ๓ มาตรา ๔
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ร้อยตำรวจเอกสิทธิชัยไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจฟ้องนายอู๋ ยกฟ้องเฉพาะคดีที่ร้อยตำรวจเอกสิทธิชัยเป็นโจทก์ฟ้องนายอู๋ และเห็นว่าร้อยตำรวจเอกสิทธิชัยและนายอู๋ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๐ และพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. ๒๔๗๗ มาตรา ๑๓, ๒๙, ๓๑, ๖๖ แก้ไข พ.ศ. ๒๔๘๑ มาตรา ๔ ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๐ ซึ่งเป็นบทหนัก ให้จำคุกคนละ ๑๕ วัน ปรับคนละ ๕๐๐ บาท จำเลยทั้งสองไม่เคยต้องโทษมาก่อนโทษจำให้รอไว้ ๑ ปี ถ้าไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๔, ๓๐
นายอู๋จำเลยกับร้อยตำรวจเอกสิทธิชัยทั้งในฐานะจำเลยและในฐานะโจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
นายอู๋จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายให้รับฎีกา
ร้อยตำรวจเอกสิทธิชัยฎีกาทั้งในฐานะจำเลยและในฐานะโจทก์ร่วมศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะข้อกฎหมายว่าร้อยตำรวจเอกสิทธิชัยมีสิทธิเป็นโจทก์ฟ้องคดีหรือไม่
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่นายอู๋ฎีกาว่า ถ้าร้อยตำรวจเอกสิทธิชัยไม่ขับเร็วและใช้ความระมัดระวังไม่รีบร้อนเลี้ยวรถตามเข้าไปในถนนอิสระภาพก็จะไม่มีการชนกัน ความประมาทควรตกแก่ร้อยตำรวจเอกสิทธิชัยผู้เดียวนั้น ในการวินิจฉัยว่านายอู๋ขับรถโดยประมาทหรือไม่นั้นศาลย่อมพิจารณาเอาจากการกระทำของนายอู๋ฝ่ายเดียวเป็นเครื่องวินิจฉัย ฝ่ายร้อยตำรวจเอกสิทธิชัยจะประมาทหรือไม่ไม่สำคัญ เมื่อฟังข้อเท็จจริงที่ยุติดังที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาว่านายอู๋เคลื่อนรถออกไปเข้าสี่แยกด้านที่มีไฟแดงกระพริบโดยมิได้ระมัดระวังให้ดีว่ารถทางซ้ายมือของตนที่วิ่งมานั้นมีความเร็วแค่ไหน อยู่ห่างไกลเพียงใด ตนพอจะขับพ้นไปได้หรือไม่ ตามกฎหมายถือว่านายอู๋ขับรถโดยประมาท ส่วนฎีกาของร้อยตำรวจเอกสิทธิชัยว่าตนมีสิทธิฟ้องนายอู๋ได้นั้นเห็นว่า ความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๙๐ ผู้เสียหายที่จะฟ้องได้ก็คือผู้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ คดีนี้ร้อยตำรวจเอกสิทธิชัยไม่ได้รับบาดเจ็บ จึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะฟ้องได้ ส่วนความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรที่นายอู๋ทำลงนั้น เอกชนหาใช่เป็นผู้เสียหายที่จะฟ้องได้ไม่ดังคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๙๗๔/๒๔๙๗
พิพากษายืน.