แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พยานบอกเล่าเป็นเพียงพยานที่มีน้ำหนักน้อยเท่านั้น แต่ไม่ใช่พยานที่กฎหมายห้ามมิให้รับฟัง เมื่อพยานบอกเล่านั้นสมเหตุผลและมีพยานอื่นสนับสนุน ก็เป็นพยานที่มีน้ำหนักควรแก่การรับฟังได้
ผู้ตายกู้ยืมเงินโจทก์โดยทำหนังสือสัญญากู้ เมื่อหนี้ถึงกำหนดผู้ตายได้โอนขายที่ดินบางส่วนให้โจทก์เป็นการหักกลบลบหนี้ ดังนี้ผู้ตายย่อมหลุดพ้นจากหนี้ตามหนังสือสัญญากู้นั้น การนำสืบการหักกลบลบหนี้นั้นไม่ต้องมีหลักฐานการชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นายเจริญ ชูพุทธพงษ์ ได้ทำหนังสือสัญญากู้เงินและรับเงินไปจากโจทก์ตามสัญญากู้ ๒ ฉบับ รวม ๓๐,๐๐๐ บาท โดยได้นำโฉนดที่ดินให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกัน ต่อมานายเจริญถึงแก่กรรม จำเลยทั้งสองเป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกและครอบครองมรดกของผู้กู้อยู่ในขณะนี้ ขอศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองใช้เงินต้นพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า นายเจริญ ชูพุทธพงษ์ จะได้กู้เงินจากโจทก์จริงหรือไม่ ไม่รับรอง หากกู้จริงก็ได้ชำระหนี้แล้วโดยการโอนที่ดินบางส่วนตามโฉนดเลขที่ ๓๔๐๔ ตำบลคลองพระอุดม อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี ให้แก่โจทก์เป็นการชำระหนี้ จำเลยที่ ๒ ไม่ได้เป็นทายาทและไม่ได้รับมรดกขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า หนังสือสัญญากู้ทั้งสองฉบับยังอยู่ที่โจทก์และมิได้มีการแทงเพิกถอนหรือมีหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อโจทก์ แสดงว่าได้รับใช้เงินแล้ว จึงฟังว่านายเจริญ ชูพุทธพงษ์ ยังไม่ได้ชำระหนี้ตามสัญญากู้ จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ได้รับทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมแต่ผู้เดียว จำเลยที่ ๒ ไม่ได้เป็นทายาทและไม่ได้รับมรดก พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ แต่ทั้งนี้ไม่ต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ได้รับ กับให้ชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ ๑,๐๐๐ บาท ให้ยกฟ้องเกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ ให้โจทก์ชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยที่ ๒ โดยกำหนดค่าทนายความให้ ๑,๐๐๐ บาท
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วฟังว่า นายเจริญได้โอนขายที่ดินบางส่วนชำระหนี้เงินกู้ตามฟ้องให้โจทก์เสร็จสิ้นไปแล้ว พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลยที่ ๑ โดยกำหนดค่าทนายความให้ ๑,๒๐๐ บาท
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่าคำเบิกความของพระภิกษุวันจิตสมสุข และนายจุล ชูพุทธพงษ์ เป็นพยานบอกเล่า เพราะไม่ทราบแน่ชัดว่านายเจริญได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์จริงหรือไม่ นายเจริญพูดจริงหรือไม่ มิควรที่จะรับฟังเพื่อหักล้างพยานเอกสารคือสัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้อง อันถือได้ว่าเป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่ขัดต่อกฎหมายวิธีพิจารณาความนั้น เห็นว่า ศาลอุทธรณ์มิได้รับฟังแต่เฉพาะคำเบิกความของพระภิกษุวันและนายจุลเท่านั้น แต่ฟังคำเบิกความของพยานทั้งสองประกอบพยานหลักฐานอย่างอื่นอีกด้วย กล่าวคือ นายเจริญได้ให้โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินของนายเจริญ ๑,๒๐๐ ส่วน โจทก์เองก็ยอมรับว่าได้ซื้อที่ดินดังกล่าวจากนายเจริญในราคา ๙๔,๐๐๐ บาท ซึ่งมากกว่าหนี้ที่นายเจริญมีต่อโจทก์เกือบสามเท่า โฉนดที่ดินที่นายเจริญให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันหนี้เงินกู้ที่โจทก์ฟ้อง โจทก์ก็คืนให้นายเจริญไป ทั้งการซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์และนายเจริญทำขึ้นภายหลังหนี้ตามสัญญากู้ถึงกำหนดชำระแล้ว ศาลอุทธรณ์ไม่เชื่อว่าโจทก์ได้ชำระราคาที่ดินให้แก่นายเจริญโดยไม่ได้หักกับหนี้เงินกู้ดังที่โจทก์นำสืบจากพยานหลักฐานดังกล่าว ศาลอุทธรณ์จึงรับฟังว่า นายเจริญได้เล่าให้พระภิกษุวันฟังว่านายเจริญได้กู้เงินโจทก์และได้โอนขายที่ดินชำระหนี้ให้แก่โจทก์ดังที่พระภิกษุวันเบิกความ และเชื่อว่านายเจริญได้ให้นายจุลไปรับรู้ว่าได้มีการหักกลบลบหนี้เงินกู้ยืมระหว่างโจทก์กับนายเจริญแล้วดังที่นายจุล เบิกความ พยานบอกเล่าเป็นเพียงพยานที่มีน้ำหนักน้อยเท่านั้น แต่ไม่ใช่พยานที่กฎหมายห้ามมิให้รับฟัง เมื่อพยานบอกเล่านั้นสมเหตุผลและมีพยานอื่นสนับสนุนก็เป็นพยานที่มีน้ำหนักควรแก่การรับฟังได้ ศาลอุทธรณ์มิได้รับฟังพยานบอกเล่าโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายดังที่โจทก์ฎีกา
ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า การกู้ยืมเงินที่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ถ้ามีการชำระหนี้เงินกู้แล้วก็ต้องมีการแทงเพิกถอนลงในสัญญากู้ฉบับนั้น ๆ หรือมีการเวนคืนสัญญากู้ให้ผู้กู้ไป หรือมีหลักฐานลงลายมือชื่อผู้ให้กู้มาแสดงให้เห็นว่าผู้ให้กู้ได้รับชำระเงินนั้น ๆ แล้ว เมื่อสัญญากู้ทั้งสองฉบับอยู่กับโจทก์โดยไม่มีการแทงเพิกถอนและไม่มีหลักฐานที่ลงลายมือชื่อโจทก์มาแสดงว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้แล้ว ก็ต้องถือว่าโจทก์ยังไม่ได้รับชำระหนี้เงินกู้ตามสัญญากู้นั้น เห็นว่า ตามฎีกาดังกล่าวเป็นเรื่องของพยานหลักฐานที่แสดงว่ามีการชำระหนี้ที่มีหลักฐานเป็นหนังสือ แต่คดีนี้เป็นเรื่องหักกลบลบหนี้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติแล้วว่าโจทก์มีหนี้ที่จะต้องชำระค่าที่ดินที่ซื้อจากนายเจริญและไม่ได้ชำระค่าที่ดินให้แก่นาย เจริญ จึงแสดงว่าโจทก์ได้ตกลงหักกลบลบหนี้กับนายเจริญแล้ว นายเจริญจึงหลุดพ้นจากหนี้ตามหนังสือสัญญากู้ทั้งสองฉบับนั้น การหักกลบลบหนี้นั้นไม่ต้องมีหลักฐานการชำระหนี้ดังที่โจทก์ฎีกา ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนจำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๑,๕๐๐ บาท