คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1898/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์อยู่ในราชอาณาจักร ยื่นคำขอรับชำระหนี้เกินกำหนดเวลาสองเดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด จึงไม่มีสิทธิขอขยายกำหนดเวลาหรือขอรับชำระหนี้ได้อีก ข้ออ้างที่โจทก์ได้ติดต่อกับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตลอดมา เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่แจ้งการโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและให้เจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้ให้โจทก์ทราบ และเชื่อว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะแจ้งให้ทราบนั้น เป็นแต่เพียงการเข้าใจผิดของโจทก์เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีหน้าที่ที่จะกระทำเช่นนั้น ข้ออ้างที่ว่าหนังสือพิมพ์รายวันที่ประกาศคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด และหนังสือราชกิจจานุเบกษาไม่มีขายในจังหวัดที่โจทก์อยู่ก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่สมควรหรือเป็นพฤติการณ์พิเศษที่จะยื่นคำขอรับชำระหนี้เกินกำหนดเวลาได้
แม้คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของโจทก์ซึ่งมีอยู่เพียงรายเดียวยังไม่ถึงที่สุด แต่เหตุที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำขอรับชำระหนี้ของโจทก์เป็นเพราะโจทก์ยื่นคำขอรับชำระหนี้เกินกำหนดเวลาตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 91 วรรคแรก เท่ากับคดีนี้ไม่มีเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ การดำเนินคดีล้มละลายนี้ต่อไปจึงไม่เป็นประโยชน์แก่เจ้าหนี้ ถือได้ว่าเป็นเหตุที่จำเลยไม่สมควรถูกพิพากษาให้ล้มละลาย ศาลชอบที่จะสั่งยกเลิกการล้มละลายได้ ตามมาตรา135 (2)
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกเลิกการล้มละลายแล้ว คำสั่งมีผลทันทีจำเลยย่อมหลุดพ้นจากการล้มละลาย หลุดพ้นจากคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด กลับคืนสู่ฐานะเดิมเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีอำนาจรวบรวมและรับเงินหรือทรัพย์สินซึ่งจะตกได้แก่จำเลย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงไม่มีอำนาจอายัดเงินบำเหน็จและเงินบำนาญของจำเลยต่อไปอีก.

ย่อยาว

คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด เมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๒๗ ต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้โฆษณาคำสั่งนั้นในหนังสือพิมพ์รายวัน ๑ ฉบับ เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๒๗ และโฆษณาคำสั่งในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๒๗ แจ้งกำหนดเวลาให้เจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดเวลาสองเดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งวันที่ ๒๙พฤศจิกายน ๒๕๒๗ โจทก์ยื่นคำขอรับชำระหนี้ แต่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่รับคำขอเพราะยื่นเกินกำหนดเวลาสองเดือน โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้รับคำขอ ต่อมาจำเลยและเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้สั่งยกเลิกการล้มละลาย เพราะไม่มีเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายในกำหนด
วันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๒๘ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยืนตามคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ให้ยกคำขอรับชำระหนี้โจทก์ และมีคำสั่งให้ยกเลิกการล้มละลาย ต่อมาจำเลยขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ถอนการอายัดเงินบำเหน็จและเงินบำนาญของจำเลยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สั่งให้รอคดีถึงที่สุดก่อน จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้ถอนอายัด ศาลมีคำสั่งกลับคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ให้ถอนการอายัดโดยไม่ต้องรอคดีถึงที่สุด
โจทก์อุทธรณ์ทั้งสามข้อ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่าโจทก์ยื่นคำรับชำระหนี้ได้หรือไม่ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๑ วรรคแรก บัญญัติว่าเจ้าหนี้ซึ่งขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายจะเป็นเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์หรือไม่ก็ตามต้องยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดเวลาสองเดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด แต่ถ้าเจ้าหนี้อยู่นอกราชอาณาจักรเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะขยายกำหนดเวลาให้อีกได้ไม่เกินสองเดือน ข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์อยู่ในราชอาณาจักร ยื่นคำขอรับชำระหนี้เกินกำหนดเวลาสองเดือนแล้วโจทก์จึงไม่มีสิทธิขอขยายกำหนดเวลาหรือขอรับชำระหนี้ได้อีก ข้ออ้างของโจทก์ที่ว่าได้ติดต่อกับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตลอดมา เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่แจ้งการโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด และให้เจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้ให้โจทก์ทราบและเชื่อว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะแจ้งให้โจทก์ทราบ นั้น เป็นแต่เพียงการเข้าใจผิดของโจทก์เท่านั้น เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีหน้าที่ที่จะกระทำเช่นนั้น ตามฎีกาโจทก์ก็ยอมรับว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีหน้าที่ เพียงแต่โจทก์หวังว่าจะได้รับความเอื้อเฟื้อเท่านั้น จึงไม่เป็นเหตุอ้างขอรับสิทธิพิเศษแต่อย่างใด ข้อที่อ้างว่าหนังสือพิมพ์รายวันที่ประกาศและหนังสือราชกิจจานุเบกษาไม่มีขายที่จังหวัดศรีสะเกษก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่สมควรหรือเป็นพฤติการณ์พิเศษที่จะยื่นคำขอรับชำระหนี้เกินกำหนดเวลาได้
ปัญหาว่า คำสั่งศาลชั้นต้นให้ยกคำขอรับชำระหนี้ไม่ถึงที่สุดศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกเลิกการล้มละลายได้หรือไม่ เห็นว่า แม้คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของโจทก์ซึ่งมีอยู่เพียงรายเดียวยังไม่ถึงที่สุด แต่เหตุที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำขอรับชำระหนี้ของโจทก์เป็นเพราะโจทก์ยื่นคำขอรับชำระหนี้เกินกำหนดเวลาตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๑ วรรคแรก ซึ่งศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้ข้างต้นแล้วว่า ไม่มีเหตุที่โจทก์จะยื่นคำขอรับชำระหนี้เกินกำหนดเวลาได้เท่ากับว่าคดีนี้ไม่มีเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ การดำเนินคดีล้มละลายนี้ต่อไปจึงไม่เป็นประโยชน์แก่เจ้าหนี้ถือได้ว่าเป็นเหตุที่จำเลยไม่สมควรถูกพิพากษาให้ล้มละลายศาลชอบที่จะสั่งยกเลิกการล้มละลายได้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๓๕ (๒)
ส่วนปัญหาว่าคำสั่งให้ยกเลิกการล้มละลายยังไม่ถึงที่สุดเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจอายัดเงินบำเหน็จและเงินบำนาญของจำเลยต่อไปอีกได้หรือไม่เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกเลิกการล้มละลายแล้ว คำสั่งนั้นมีผลทันที จำเลยย่อมหลุดพ้นการล้มละลาย หลุดพ้นคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด กลับคืนสู่ฐานะเดิมเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีอำนาจเก็บรวบรวมและรับเงินหรือทรัพย์สินซึ่งจะตกได้แก่จำเลย ซึ่งจำเลยมีสิทธิที่จะได้รับจากผู้อื่น ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๒๒ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงไม่มีอำนาจอายัดเงินบำเหน็จและเงินบำนาญของจำเลยต่อไปอีก ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำขอรับชำระหนี้ ให้ยกเลิกการล้มละลาย และให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ถอนการอายัดเงินบำเหน็จและบำนาญชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share