แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเงินที่โจทก์ฝากไว้กับจำเลยย่อมตกเป็นของจำเลย การที่จำเลยโอนเงินที่รับฝากไว้ไปให้บุคคลอื่นจึงเป็นเรื่องที่โจทก์จะเรียกร้องเอาจากจำเลยในทางแพ่ง ไม่เป็นความผิดฐานยักยอกแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ อันเป็นการยกฟ้องโดยอาศัยข้อกฎหมาย ดังนี้ โจทก์จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแต่เมื่อฎีกาของโจทก์คงโต้เถียงเฉพาะปัญหาข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตหรือไม่เท่านั้น มิได้คัดค้านคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ดังกล่าว ฎีกาของโจทก์จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒, ๓๕๔, ๘๓
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ส่วนจำเลยที่ ๑ นั้น ปรากฏว่าศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่า เงินที่โจทก์ฝากไว้กับจำเลยที่ ๑ ย่อมตกเป็นของจำเลยที่ ๑ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๗๒ การที่จำเลยที่ ๑ โอนเงินที่รับฝากไปให้บุคคลอื่นจึงเป็นเรื่องที่โจทก์จะเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ ๑ ในทางแพ่ง ไม่เป็นความผิดฐานยักยอก อันเป็นการยกฟ้องโดยอาศัยข้อกฎหมายคดีของจำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แต่ในชั้นฎีกาโจทก์คงโต้เถียงเฉพาะปัญหาข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ มีเจตนาทุจริตหรือไม่เท่านั้น มิได้คัดค้านคำวินิจฉัยข้อกฎหมายของศาลอุทธรณ์ดังกล่าว จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๖ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาของโจทก์