คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3825/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดและหักทอนบัญชีเดินสะพัดกับจำเลยแล้ว หลังจากนั้นจำเลยนำเงินไปชำระหนี้ให้โจทก์อีกจะด้วยวิธีใดก็ตาม ก็ไม่ทำให้บัญชีเดินสะพัดที่โจทก์บอกเลิกแล้วกลับคงเดินสะพัดต่อไปและการที่โจทก์รับชำระหนี้จากจำเลยหลังจากที่บอกเลิกสัญญาแล้ว ก็หาใช่เป็นการสละประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาหรือผ่อนเวลาชำระหนี้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๓๐ จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์โดยใช้บัญชีกระแสรายวันเดินสะพัดและได้ทำบันทึกเพิ่มวงเงินกู้และต่อ สัญญากู้อีกหลายครั้ง รวมเป็นวงเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี ๔,๒๒๐,๐๐๐ บาท โดยจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ร่วมกันทำสัญญาจำนองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพื่อเป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ ๑ ต่อโจทก์อีกหลายฉบับ ต่อมาจำเลยที่ ๑ เป็นหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีคิดถึงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๒๕ เป็นเงิน ๖,๖๗๖,๒๗๒.๑๒ บาท
จำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองไปยังจำเลยทั้งสองแล้ว จำเลยไม่ชำระหนี้ ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองเป็นเงิน ๖,๖๗๖,๒๗๒.๑๒ บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๘ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระขอให้มีคำสั่งให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดชำระหนี้ หากไม่ครบให้ยึดทรัพย์สินอื่นชำระหนี้จนครบ
จำเลยทั้งสองให้การว่า ได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจริงการจำนองไม่มีเงื่อนเวลากำหนด โจทก์ไม่มีสิทธิบังคับจำนอง โจทก์ใช้สิทธิไม่สุจริต จำเลยชำระดอกเบี้ยให้โจทก์มาตลอด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๖,๓๒๗,๔๙๒.๐๘ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๘ ต่อปี นับจากวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๕ จนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระให้โจทก์ หากไม่ครบให้ยึดทรัพย์ของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดต่อไป แต่ให้หักเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท ที่จำเลยชำระให้โจทก์ในภายหลังออกเสียก่อน ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ ๑๕,๐๐๐ บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า หลังจากโจทก์ได้บอกเลิกสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับจำเลยที่ ๑ และบอกกล่าวบังคับจำนองแล้ว โจทก์ได้ยอมรับเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท ที่จำเลยนำเข้าบัญชีเพื่อชำระดอกเบี้ยและเงินต้นถือได้ว่าเป็นการสละประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาและเป็นการผ่อนเวลา บัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๑ ยังคงดำเนินต่อไปนั้น เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๕๙ บัญญัติว่า คู่สัญญาจะบอกเลิกบัญชีเดินสะพัดและหักทอนบัญชีเสียในเวลาใด ๆ ก็ได้ ข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดและหักทอนบัญชีเดินสะพัดกับจำเลยที่ ๑ เมื่อวันที่๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๕ ตามบัญชีเดินสะพัดจำเลยที่ ๑ เป็นหนี้โจทก์อยู่ ๖,๒๕๑,๑๕๕.๐๓ บาทการที่หลังจากนั้นจำเลยที่ ๑ ได้นำเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท ไปชำระหนี้จะด้วยวิธีใดก็ตาม ก็หาได้ทำให้บัญชีเดินสะพัดที่คู่สัญญาบอกเลิกแล้วกลับคงเดินต่อไปอย่างที่จำเลยฎีกาไม่ ทั้งการที่โจทก์รับชำระหนี้หลังจากที่บอกเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดก็หาใช่เป็นการสละประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาหรือผ่อน เวลาชำระหนี้แต่ประการใดไม่ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้นศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน.

Share