คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2268/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยออกเช็คพิพาทรวม 3 ฉบับ เพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์แม้ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินไปในวันเดียวกันทุกฉบับ แต่การออกเช็คดังกล่าวเป็นการสั่งให้ธนาคารจ่ายเงินตามจำนวนและวันที่ที่ปรากฏในเช็ค ซึ่งจำเลยผู้ออกเช็คอาจมีเงินจ่ายตามเช็คหรือมีเจตนาให้ใช้เงินตามเช็คแต่ละฉบับหรือไม่แตกต่างกันได้การที่จำเลยออกเช็คหลายฉบับและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินดังกล่าว จึงเป็นการกระทำผิดหลายกรรม ศาลต้องลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์อันเป็นการยืนยันว่าจำเลยมีเจตนาจะใช้เช็คนั้นชำระหนี้แม้จะมิได้ระบุว่าชำระหนี้ในมูลหนี้อะไรก็ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม เพราะเป็นรายละเอียดที่จะนำสืบในชั้นพิจารณา.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ออกเช็ครวม ๓ ฉบับ ลงวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๒๗ จำนวนเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท ลงวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๒๓ จำนวนเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท และลงวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๒๗ จำนวนเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท ชำระหนี้แก่โจทก์ เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๒๗ โจทก์นำเช็คดังกล่าวเข้าเรียกเก็บแต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินทั้งสามฉบับ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว สั่งคดีมีมูล
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดสามกระทง จำคุกกระทงละ ๒ เดือน รวมจำคุก ๖ เดือนจำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ กึ่งหนึ่ง คงจำคุก ๓ เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ในปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดเพียงกรรมเดียว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้ลงโทษจำเลยเป็น ๓ กระทงโดยถือว่าเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันจึงมิชอบนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าแม้ธนาคารจะได้ปฏิเสธการจ่ายเงินไปในวันเดียวกันทั้งหมดทุกฉบับก็ตามแต่การออกเช็คดังกล่าวเป็นการสั่งให้ธนาคารจ่ายเงินตามจำนวนและวันที่ที่ปรากฏในเช็ค ซึ่งจำเลยผู้ออกเช็คอาจมีเงินจ่ายตามเช็ค หรือมีเจตนาให้ใช้เงินตามเช็คแต่ละฉบับหรือไม่แตกต่างแยกจากกันได้ การที่จำเลยออกเช็คหลายฉบับ และธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินดังกล่าวแล้วจึงเป็นการกระทำผิดหลายกรรมต่างกัน ศาลต้องลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑
ในปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้อะไร จึงเป็นฟ้องที่เคลือบคลุมศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยออกเช็คพิพาทดังกล่าวชำระหนี้แก่โจทก์ อันเป็นการยืนยันว่าจำเลยมีเจตนาจะใช้เช็คนั้นชำระหนี้แม้จะมิได้ระบุว่าชำระหนี้ในมูลหนี้อะไรก็ไม่เป็นฟ้องที่เคลือบคลุม เพราะเป็นรายละเอียดที่จะนำสืบในชั้นพิจารณา ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้วฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share