แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ประเด็นในคดีซึ่งศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยไว้แล้วและในชั้นศาลอุทธรณ์จำเลยก็ได้หยิบยกขึ้นโต้แย้งไว้ในคำแก้อุทธรณ์อันเป็นประเด็นที่ศาลอุทธรณ์จะต้องวินิจฉัยให้ เมื่อศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยประเด็นข้อนี้ไว้ ศาลฎีกาเห็นสมควรที่จะวินิจฉัยตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่แล้วในสำนวนก็ชอบจะทำได้ โดยไม่จำต้องย้อนสำนวน
ตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 61 วรรคท้ายในกรณีที่มีการออกโฉนดที่ดินโดยไม่ถูกต้อง ผู้ได้รับหนังสือหรือคู่กรณีมีอำนาจดำเนินการฟ้องร้องยังศาลให้เพิกถอนได้ ไม่จำเป็นจะต้องให้อธิบดีกรมที่ดินเป็นผู้เพิกถอนทุกกรณี และเมื่อศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษาถึงที่สุดให้เพิกถอนหรือแก้ไขอย่างไรแล้วจึงให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 71 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินดำเนินการตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นตามวิธีการที่อธิบดีกรมที่ดินกำหนด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ นำรังวัดและจำเลยที่ ๒ ดำเนินการรังวัดแบ่งแยกที่ดินตามโฉนดพิพาทไม่ถูกต้องตามคำพิพากษา ขอให้เพิกถอนโฉนดดังกล่าว
จำเลยที่ ๑ ให้การว่าได้ดำเนินการรังวัดแบ่งแยกที่ดินตามคำพิพากษาและแบ่งแยกที่ดินถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบปฏิบัติของกรมที่ดินแล้วโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่าออกโฉนดที่ดินไปตามอำนาจหน้าที่โดยชอบ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ ๒ ดำเนินการรังวัดแบ่งแยกจดทะเบียนสิทธิในที่ดิน ให้จำเลยที่ ๑ ไม่ถูกต้องตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดเพชรบุรีในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๒๐๙/๒๕๒๓ การสร้างโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๑๐๖๖ และการจดทะเบียนแบ่งแยกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๙๓๘๙ ให้จำเลยที่ ๑ ของจำเลยที่ ๒ ปฏิบัติถูกต้องแล้วแต่จำนวนเนื้อที่ดินในโฉนดฉบับหลังไม่ถูกต้องการเพิกถอนการออกโฉนดที่ดินเป็นอำนาจของอธิบดีกรมที่ดิน โจทก์จะฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองเพิกถอนไม่ได้ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับให้เพิกถอนการออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๙๓๘๙ ตำบลเวียงคอย อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาในประเด็นที่ว่าจำเลยที่ ๒ ดำเนินการรังวัดแบ่งแยกจดทะเบียนสิทธิในที่ดินให้จำเลยที่ ๑ ถูกต้องตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๒๐๙/๒๕๒๓ ของศาลชั้นต้นหรือไม่ นั้น เห็นว่าเป็นประเด็นในคดีซึ่งว่ากล่าวกันมาแล้วทั้งในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ โดยศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยไว้แล้ว และในชั้นศาลอุทธรณ์จำเลยที่ ๑ ก็ได้หยิบยกขึ้นโต้แย้งไว้ในคำแก้อุทธรณ์อันเป็นประเด็นที่ศาลอุทธรณ์จะต้องวินิจฉัยให้ เมื่อศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยประเด็นข้อนี้ไว้ ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยไปเสียเลย สำหรับประเด็นข้อนี้ ปรากฏว่าทั้งโจทก์และจำเลยที่ ๑ ต่างอ้างสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๒๐๙/๒๕๒๓ เป็นพยานร่วมกัน จึงฟังได้จากคำพิพากษาคดีดังกล่าวว่าจำเลยที่ ๑ ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินตามรูปแผนที่สังเขปในแผนที่พิพาทที่ครอบครองอยู่เฉพาะเนื้อที่ที่แน่นอนตายตัวคือ ๑ งาน ๓๖ ตารางวาเท่านั้น และได้ความจากที่โจทก์และจำเลยที่ ๑ นำสืบรับกันไว้ในคดีนั้นด้วยว่าที่ดินที่จำเลยที่ ๑ ครอบครองมานั้น ถูกเวนคืนเป็นเขตถนนเพชรเกษมไปบางส่วนทางด้านเหนือ และปรากฏรายละเอียดตามแผนที่พิพาทรับกันไว้อีกว่าถูกเวนคืนไปกว้าง ๑๐ เมตรยาวตลาดที่ดิน ซึ่งความยาวเฉพาะที่เป็นของจำเลยที่ ๑ คือด้านเหนือ ๒๑.๖๐ เมตร โดยที่จำเลยที่ ๑ มิได้นำสืบในคดีนี้หักล้างให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงคำนวณเป็นเนื้อที่ได้ ๕๔ ตารางวา ใกล้เคียงกับก็โจทก์นำสืบในคดีนี้ไว้ว่าประมาณ ๕๓ – ๕๔ ตารางวา เมื่อนำมารวมกับเนื้อที่ดินที่โจทก์นำรังวัดแบ่งแยกตามคำพิพากษาเป็นโฉนดเลขที่ ๑๙๓๘๙ จำนวน ๙๑ ตารางวา จึงเป็นเนื้อที่ที่จำเลยที่ ๑ ครอบครองมาทั้งหมดประมาณ ๑๔๕ ตารางวา เกินกว่าที่ศาลพิพากษาไปประมาณ ๙ ตารางวา แสดงว่าการรังวัดแบ่งแยกโฉนดเลขที่ ๑๙๓๘๙ ผิดพลาดไปจากคำพิพากษาเพราะส่วนทีถูกเวนคืนจะต้องเป็นเนื้อที่ดินที่คงที่แน่นอนโจทก์จะต้องนำรังวัดต่อจากส่วนนั้นออกมารวมแล้วไม่เกิน ๑๓๖ ตารางวาตามคำพิพากษาเท่านั้น ดังนั้นจำเลยที่ ๒ จึงดำเนินการรังวัดแบ่งแยกจดทะเบียนสิทธิในที่ดินในจำเลยที่ ๑ ไม่ถูกต้องตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๒๐๙/๒๕๒๓ ของศาลชั้นต้น ฎีกาของจำเลยที่ ๑ ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่ฎีกาว่าในประเด็นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการออกโฉนดหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ตั้งประเด็นขึ้นใหม่ว่า “ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษาถึงที่สุดให้เพิกถอนหรือแก้ไขอย่างใดแล้วให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๗๑ ดำเนินการตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นตามวิธีการที่อธิบดีกำหนด” เห็นว่าไม่เป็นการตั้งประเด็นขึ้นใหม่ แต่เป็นการชี้แนะให้เห็นว่า ตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๖๑ วรรคท้าย ในกรณีที่มีการออกโฉนดที่ดินโดยไม่ถูกต้อง ผู้ได้รับหนังสือหรือคู่กรณีมีอำนาจดำเนินการฟ้องร้องยังศาลให้เพิกถอนได้ไม่จำเป็นจะต้องให้อธิบดีกรมที่ดินเป็นผู้เพิกถอนทุกกรณี และเมื่อศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษาถึงที่สุดให้เพิกถอนหรือแก้ไขอย่างไรแล้ว จึงให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๗๑ แห่งประมวลกฎหมายที่ดินดำเนินการตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น ตามวิธีการที่อธิบดีกรมที่ดินกำหนด อนึ่ง แม้คดีนี้คำขอท้ายฟ้องของโจทก์จะระบุว่า ขอศาลบังคับจำเลยให้เพิกถอนการออกโฉนดใหม่ก็ตาม แต่เจตนาอันแท้จริงของโจทก์ก็คือขอให้ศาลเพิ่มถอนการออกโฉนดใหม่นั้นเสียนั่นเอง เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติแล้วว่าการออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๙๓๘๙ ได้กระทำโดยไม่ถูกต้องตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๒๐๙/๒๕๒๓ ของศาลชั้นต้น จึงมีเหตุให้เพิกถอนการออกโฉนดที่ดินดังกล่าวได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาเพิกถอนโฉนดไปเสียเลยเลขนั้น ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยที่ ๑ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน