แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามสัญญาประกันภัยมีเงื่อนไขระบุว่า เมื่อรถยนต์ที่เอาประกันภัยไว้เกิดความเสียหาย ผู้รับประกันภัยมีสิทธิซ่อมเปลี่ยนหรือใช้รถยนต์สภาพเดียวกันนั้น ผู้รับประกันภัยจะต้องเลือกซ่อมโดยช่างซ่อมที่มีฝีมือด้วย การที่ผู้เอาประกันภัยไม่ยอมส่งมอบรถยนต์ให้ซ่อมเพราะยังไม่พอใจว่าช่างซ่อมของผู้รับประกันภัยจะซ่อมรถได้ดีหรือไม่ และไม่ปรากฏว่าผู้เอาประกันภัยจะไม่ส่งมอบรถยนต์ให้ผู้รับประกันภัยโดยเด็ดขาด จึงถือไม่ได้ว่าผู้เอาประกันภัยผิดเงื่อนไขในสัญญา
การที่ผู้เอาประกันภัยฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผู้ที่อ้างว่าทำละเมิดนั้น เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายของผู้เอาประกันภัย จะถือว่าผู้เอาประกันภัยสละสิทธิที่จะให้ผู้รับประกันภัยปฏิบัติตามสัญญาหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์สำนวนที่สามฟ้องจำเลยให้รับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยพร้อมค่าเสียหายและดอกเบี้ย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๒๑,๙๐๖.๙๓ บาท
จำเลยให้การว่า รถยนต์ของโจทก์ที่เอาประกันภัยไว้ไม่ได้เสียหายตามฟ้อง เมื่อเกิดเหตุแล้วโจทก์ไม่ส่งมอบรถยนต์ให้จำเลยจัดการซ่อมให้ตามเงื่อนไขแห่งกรมธรรม์ประกันภัย โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา ไม่มีสิทธิเรียกร้องขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน ๘๖,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้จะมีข้อตกลงตามที่ระบุไว้ในเงื่อนไขของสัญญาประกันภัยระหว่างโจทก์จำเลยให้จำเลยมีสิทธิเลือกซ่อมเปลี่ยนหรือใช้รถสภาพเดียวกัน รวมทั้งใช้เป็นเงินแทนตามแต่จะเห็นสมควรได้ก็ตาม แต่จำเลยก็จะต้องเลือกซ่อมโดยช่างซ่อมที่มีฝีมือด้วย เมื่อโจทก์นำช่างซ่อมมาดูความเสียหายของรถโจทก์แล้ว ช่างซ่อมคิดค่าซ่อมเป็นเงิน ๙๙,๐๗๐ บาท ส่วนจำเลยว่าค่าซ่อมที่จำเลยจะนำรถไปซ่อมคิดเป็นเงินเพียง ๖๐,๐๐๐ บาท การที่โจทก์ยังไม่ยอมส่งมอบรถให้จำเลยเพราะยังไม่แน่ใจว่าช่างซ่อมของจำเลยจะซ่อมรถดีหรือไม่ และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์จะไม่ส่งมอบรถให้จำเลยโดยเด็ดขาดหรือไม่ จึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ผิดสัญญาอันจำเลยไม่ต้องรับผิด ส่วนการที่จำเลยที่ ๑ ฟ้องแย้ง เรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ ๓ นั้น เห็นว่าการฟ้องคดีเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายของจำเลยที่ ๑ จะถือว่าจำเลยที่ ๑ สละสิทธิที่จะให้จำเลยที่ ๒ ปฏิบัติตามสัญญาหาได้ไม่
พิพากษายืน (เฉพาะคดีสำนวนที่สาม)