แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดใช้เงินตามเช็คซึ่งจำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายจำเลยให้การต่อสู้ว่า ได้ออกเช็คให้โจทก์ถือไว้เป็นประกันในการที่จำเลยกู้เงินโจทก์ไปมิใช่ออกให้เพื่อชำระหนี้ ดังนี้แม้จำเลยจะนำสืบพังได้ตามข้อต่อสู้ จำเลยก็หาพ้นความ รับผิดไม่ เพราะการที่จำเลยกู้เงินโจทก์ไปและสั่งจ่ายเช็ครายพิพาทให้โจทก์ไว้เป็นประกันดังที่จำเลยต่อสู้นั้น ย่อมเป็นการออกเช็คโดยมีมูลหนี้มาจากการกู้เงินและมีเจตนาที่จะผูกพันบังคับชำระหนี้กันได้ตามกฎหมาย เช็ครายพิพาทเป็นเช็คที่ลงวันที่ อันเป็นการกำหนดเวลาไว้แน่นอนแล้วว่า ให้ผู้ทรงเช็คนำไปยื่นแก่ธนาคารเพื่อให้ใช้เงินได้ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป ที่จำเลยอ้างว่าได้ตกลงกับโจทก์ไว้ว่า ไม่ให้นำเช็คไปขึ้นเช็คนั้น จึงขัดกับข้อความในเช็ค ทั้งจำเลยก็มิได้ต่อสู้หนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยซึ่งได้ออกเช็คไว้เป็นประกันนั้น ได้ระงับไปแล้วทั้งหมดหรือบางส่วนแต่อย่างใด จำเลยผู้สั่งจ่ายจึงต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คนั้นให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 914, 989 กรณีหาใช่เป็นเรื่องการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่ คดีไม่มีประเด็นที่คู่ความจะต้องสืบพยานกันอีกต่อไป ศาลชอบที่จะมีคำสั่งงดสืบพยานแล้วพิพากษาให้จำเลยใช้เงินตามเช็คแก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็คจากจำเลยซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายจำนวน ๖๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า มิได้ออกเช็คพิพาทเพื่อเป็นการชำระหนี้ แต่เป็นเช็คที่ออกให้ที่ออกให้โจทก์ถือไว้เป็นประกันในการที่จำเลยกู้เงินโจทก์ไป โดยตกลงกันว่าไม่ให้นำเช็คนั้นไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารหรือโอนเช็คนั้นไป และเมื่อจำเลยชำระหนี้เงินกู้เป็นงวด ๆ จนครบแล้ว โจทก์ก็จะคืนเช็คนั้นให้จำเลย โจทก์นำเช็คมาฟ้องโดยไม่สุจริต เพราะรู้อยู่แล้วว่าเป็นเช็คที่ออกให้ถือไว้เป็นประกัน มิใช่ออกให้เพื่อชำระหนี้โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ย เพราะเป็นเช็คที่นำมาฟ้องร้องไม่ได้
ในระหว่างการพิจารณา ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงให้งดสืบพยานจำเลยและโจทก์ พิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์จำนวน ๖๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งที่ให้งดสืบพยานและอุทธรณ์คำพิพากษา
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งและคำพิพากษาของศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดใช้เงินตามเช็ครายพิพาท ซึ่งจำเลยได้ลงชื่อเป็นผู้สั่งจ่าย จำเลยให้การต่อสู้ว่า ได้ออกเช็คให้โจทก์ถือไว้เป็นประกันในการที่จำเลยกู้เงินโจทก์ไป มิใช่ออกให้เพื่อชำระหนี้ ปัญหาวินิจฉัยจึงมีว่า จำเลยมีสิทธินำสืบพยานตามประเด็นข้อต่อสู้ในคำให้การของจำเลยหรือไม่พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามคำให้การของจำเลยที่ว่า ออกเช็คพิพาทมอบให้โจทก์เพื่อเป็นประกันหนี้มิใช่เพื่อชำระหนี้นั้น แม้จำเลยจะนำสืบฟังได้ตามข้อต่อสู้ จำเลยก็หาพ้นความรับผิดไม่ เพราะการที่จำเลยกู้เงินโจทก์ไปและสั่งจ่ายเช็ครายพิพาทให้โจทก์ไว้เป็นประกันดังที่จำเลยต่อสู้นั้น ย่อมเป็นการออกเช็คโดยมีมูลหนี้มาจากการกู้เงินและมีเจตนาที่จะผูกพันบังคับชำระหนี้กันได้ตามกฎหมาย เช็ครายพิพาทเป็นเช็คที่ลงวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๒๖ อันเป็นการกำหนดเวลาไว้แน่นอนแล้วว่า ให้ผู้ทรงเช็คนำไปยื่นแก่ธนาคารเพื่อให้ใช้เงินได้ตั้งแต่วันที่ ๙ เมษายน ๒๕๒๖ เป็นต้นไป ที่จำเลยอ้างว่าได้ตกลงกับโจทก์ไว้ว่าไม่ให้นำเช็คไปขึ้นเช็คนั้น จึงขัดกับข้อความในเช็ค ทั้งจำเลยก็มิได้ต่อสู้หนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยซึ่งได้ออกเช็คไว้เป็นประกันนั้น ได้ระงับไปแล้วทั้งหมดหรือบางส่วนแต่อย่างใด คดีจึงไม่มีประเด็นที่คู่ความจะต้องสืบพยานกันอีกต่อไป ฉะนั้น เมื่อเช็คครบกำหนดโจทก์นำไปขึ้นเงินแต่ธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายจึงต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คนั้นให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๙๑๔, ๙๘๙ กรณีหาใช่เป็นเรื่องการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งและคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น