แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ทนายความที่จำเลยที่ 1 แต่งตั้งให้เข้ามาดำเนินคดีแทนมีอำนาจว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ แทนจำเลยที่ 1 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 62 การที่ศาลแรงงานกลางสอบถามข้อเท็จจริงจากทนายจำเลยในวันพิจารณาเพื่อให้ได้ความชัดในประเด็นข้อพิพาทและทนายจำเลยที่ 1 แถลงรับข้อเท็จจริงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างหนึ่งซึ่งอยู่ในอำนาจของทนายจำเลยที่ 1 ที่จะกระทำได้โดยชอบ คำแถลงหรือข้อเท็จจริงที่ทนายจำเลยที่ 1 แถลงรับต่อศาลจึงรับฟังได้
จำเลยที่ 1 เจ้าของกิจการเรือประมงได้มอบหมายให้จำเลยที่ 2 ไต้ก๋งเรือดำเนินกิจการโดยให้มีอำนาจหน้าที่จัดหาหรือว่าจ้างลูกเรือหรือคนงาน จำเลยที่ 1 มีหน้าที่จ่ายค่าจ้าง ดังนี้เป็นการที่จำเลยที่ 1 แต่งตั้งจำเลยที่ 2 ให้เป็นผู้ดำเนินกิจการของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 มิใช่เป็นกรณีจำเลยที่ 2 รับเหมากิจการเรือประมงของจำเลยที่ 1 ไปดำเนินการ เมื่อจำเลยที่ 2 ว่าจ้างโจทก์เป็นลูกเรือต้องถือว่าโจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 แม้จำเลยที่ 2 จะได้รับค่าจ้างสำหรับลูกเรือไปจากจำเลยที่ 1 แล้วไม่นำไปจ่ายให้โจทก์ จำเลยที่ 1 ก็ไม่พ้นความรับผิด
จำเลยที่ 1 ไม่ได้ให้การต่อสู้ว่าโจทก์ได้รับค่าจ้างครบถ้วนแล้วหรือไม่ไว้เป็นประเด็นในคำให้การ ต้องถือว่าข้อเท็จจริงยุติตามฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้จ้างโจทก์ทั้งสิบห้าเป็นลูกจ้างของจำเลยโดยให้เข้าทำงานบนเรือประมง โจทก์ได้ทำงานกับจำเลย เป็นเวลา ๑๘ เดือน ๒๖ วัน แต่จำเลยจ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ไม่ครบถ้วน ตามสัญญาจ้างแรงงาน โจทก์ทวงถามจำเลยแล้ว จำเลยเพิกเฉย ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้างค้างชำระรวมเป็นเงิน ๕๘๖,๐๙๔ บาท ให้แก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ มิได้จ้างโจทก์จำเลยที่ ๑ ได้ตกลงจ้างจำเลยที่ ๒ ให้เป็นผู้ควบคุมดำเนินนำเรือของจำเลยที่ ๑ ไปจับปลาโดยให้จำเลยที่ ๒ จัดหาและว่าจ้างลูกเรือหรือ คนงานเอง จำเลยที่ ๑ มีหน้าที่ เพียงจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ ๒ ตามบัญชีค่าใช้จ่ายและค่าแรงคนงานเท่านั้น จำเลยที่ ๑ ได้จ่ายเงินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ ๒ ครบถ้วนแล้ว ส่วนโจทก์กับจำเลยที่ ๒ จะตกลงกันอย่างไร จำเลยที่ ๑ ไม่ทราบ จำเลยที่ ๑ ไม่ต้องรับผิดเพราะจำเลยที่ ๒ มิได้เป็นตัวแทนหรือทำการแทนจำเลยที่ ๑ ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ก่อนที่จำเลยที่ ๒ จะยื่นคำให้การ โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ ๒ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาต
วันนัดพิจารณา ศาลแรงงานกลางสอบถามข้อเท็จจริงจากทนายจำเลยที่ ๑ และทนายจำเลยที่ ๑ ได้แถลงข้อเท็จจริงบางประการต่อศาลแล้ว ศาลแรงงานกลางเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงงดสืบพยานทั้งสองฝ่าย
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ จ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ทั้งสิบห้าตามฟ้อง
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่าทนายจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ที่จำเลยที่ ๑ แต่งตั้งให้เข้ามาดำเนินคดีแทนจำเลยที่ ๑ ในฐานะทนายความ จึงมีอำนาจว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ แทนจำเลยที่ ๑ ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๖๒ การที่ศาลแรงงานกลางสอบถามข้อเท็จจริงจากทนายจำเลยในวันนัดพิจารณาเพื่อให้ได้ความชัดในประเด็นข้อพิพาท และที่ทนายจำเลยที่ ๑ แถลงรับข้อเท็จจริงนั้น เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างหนึ่งซึ่งอยู่ในอำนาจของทนายจำเลยที่ ๑ ที่จะกระทำได้โดยชอบ ไม่ใช่เป็นการกระทำนอกเหนืออำนาจการกระทำของทนายจำเลยที่ ๑ ย่อมที่ผลผูกพันจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ จะปฏิเสธไม่ยอมรับผิดต่อการกระทำของทนายจำเลยที่ ๑ หาได้ไม่ คำแถลงของทนายจำเลยที่ ๑ หรือข้อเท็จจริงซึ่งทนายจำเลยที่ ๑ แถลงรับต่อศาลแรงงานกลางจึงรับฟังได้
แม้จำเลยที่ ๑ จะมิได้ว่าจ้างโจทก์หรือจ่ายค่าแรงให้แก่โจทก์โดยตรงก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ ๑เป็นเจ้าของกิจการเรือประมงและจำเลยที่ ๑ ได้มอบให้จำเลยที่ ๒ ดำเนินกิจการเรือประมงของจำเลยที่ ๑ โดยให้มีอำนาจหน้าที่จัดหาหรือว่าจ้างลูกเรือหรือคนงานเอง จำเลยที่ ๑ มีหน้าที่จ่ายค่าจ้างหรือค่าแรงให้แก่ลูกจ้างหรือคนงานซึ่งจำเลยที่ ๒ จัดหาหรือว่าจ้างนั้นเป็นพฤติการณ์ที่เห็นได้ชัดว่าจำเลยที่ ๑ ได้แต่งตั้งจำเลยที่ ๒ ให้เป็นผู้ดำเนินกิจการของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ จึงเป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๑ ไม่ใช่เป็นกรณีที่จำเลยที่ ๒ รับเหมากิจการเรือประมงของจำเลยที่ ๑ ไปดำเนินการ ดังนั้นเมื่อจำเลยที่ ๒ ว่าจ้างโจทก์เป็นลูกเรือหรือคนงานเรือประมงต้องถือว่าโจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดต่อโจทก์ ข้อที่จำเลยที่ ๒ ได้รับเงินค่าจ้างหรือค่าแรงสำหรับลูกเรือหรือคนงานไปจากจำเลยที่ ๑ แล้วนั้น เมื่อจำเลยที่ ๒ มิได้จ่ายให้แก่โจทก์ จึงไม่ทำให้จำเลยที่ ๑ พ้นความรับผิด
ปัญหาที่ว่าโจทก์ได้รับค่าจ้างครบถ้วนแล้วหรือไม่จำเลยที่ ๑ มิได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นในคำให้การ ต้องถือว่าข้อเท็จจริงยุติตามฟ้อง
พิพากษายืน